‘จอห์นสัน’ ยกระดับมาตรการสกัดโควิด หลังติดเชื้อพุ่ง 6 แสน

หนังสือพิมพ์อีฟนิง สแตนดาร์ด ในกรุงลอนดอนระบุว่า  จอห์นสันจะเผยรายละเอียดทั้งหมดของระบบใหม่ที่หลายฝ่ายต่างตั้งตาคอยระหว่างการแถลงต่อสภาสามัญชนหรือสภาล่างของรัฐสภาสหราชอาณาจักรในวันจันทร์ (12 ต.ค.) หลังจากหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลกรณีไม่แจ้งความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ต่อสมาชิกรัฐสภาอย่างถูกต้องเหมาะสม

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ระบบใหม่ที่แบ่งเป็น 3 ระดับเรียกว่า “ระดับแจ้งเตือนโควิดในท้องถิ่น” (Local COVID Alert Levels) คาดว่าจะประกอบด้วยระดับกลาง ระดับสูง และระดับสูงมาก โดยรัฐบาลจะสั่งปิดผับและบาร์ ยกเว้นร้านอาหาร หากการแจ้งเตือนแตะระดับสูงมาก

สถานีโทรทัศน์สกายนิวส์รายงานว่าเอ็ดเวิร์ด ลิสเตอร์ หัวหน้าที่ปรึกษาเชิงยุทธศาสตร์ของจอห์นสัน กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูง ที่จะมีการบังคับใช้ข้อจำกัดเพิ่มเติม ในบางพื้นที่ เนื่องจากยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19“พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง

ลิสเตอร์ระบุในจดหมายต่อสมาชิกรัฐสภาว่ารัฐบาลจะหารือเกี่ยวกับ“การตัดสินใจอันยากลำบากกับบรรดาผู้นำท้องถิ่น โดยปัจจุบันผู้นำจากแต่ละภูมิภาคต่างกดดันให้รัฐบาลหารือเกี่ยวกับมาตรการปิดเมืองกับแต่ละท้องที่

หลังจากประชุมกับคณะเจ้าหน้าที่รัฐ บรรดาผู้นำของสภาเวสต์ ยอร์กไชร์ เขียนจดหมายร่วมต่อหริศรี สุนาก รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหราชอาณาจักรว่า เรากังวลเกี่ยวกับข่าวลือซึ่งระบุว่าเราอาจถูกผลักดันให้บังคับใช้ข้อจำกัดระดับ 3 ของระบบใหม่ โดยที่ไม่มีการปรึกษาหารือกันก่อน และไม่มีการดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพเพื่อช่วยเหลือประชาชนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ

การขยับขยายโครงการสนับสนุนด้านการงาน (Job Support Scheme) จะช่วยปกป้องตำแหน่งงาน ทั้งยังช่วยรับประกันและเป็นโครงข่ายความปลอดภัย สำหรับประชาชนและธุรกิจทั่วสหราชอาณาจักร ก่อน “ฤดูหนาวอันยากลำบากจะมาถึง

เมื่อวันเสาร์ (10 ต.ค.) สหราชอาณาจักรตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่ม 15,166 ราย และผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่ม 81 ราย โดยสกายนิวส์รายงานว่า 5 ภูมิภาคจาก 22 ภูมิภาคในยุโรปที่พบผู้ป่วยสูงสุด ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอังกฤษ

ปัจจุบันหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร จีน รัสเซีย และสหรัฐฯ ต่างทำงานแข่งกับเวลาเพื่อพัฒนาวัคซีนโรคโควิด-19 ซึ่งจะนำพาวิถีชีวิตคืนสู่ความปกติอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร รายงานข้อมูลวันที่ 12 ต.ค. 2563 มีผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศ 6.04 แสนราย และเสียชีวิตแล้ว 42,825 ราย