เพื่อไทย ออกแถลงการณ์ ไม่รื้อที่มาอำนาจ ส.ว. หวั่นล้มเหลว

เพื่อไทย ออกแถลงการณ์ ไม่รื้อที่มาอำนาจ ส.ว. หวั่นล้มเหลว

เพื่อไทย ออกแถลงการณ์ แก้ รธน.ม.256 ตั้ง ส.ส.ร. ไม่แก้หมวด 1 หมวด 2 และวุฒิสภา ระบุมุ่งหวังผลสำเร็จที่เป็นจริง ไม่สนองความต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เตรียมนัดก้าวไกลเคลียร์ปัญหา หลังไม่ร่วมลงชื่อแก้ รธน.ม.272

เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 63 นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายโภคิน พลกุล คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย และนายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน ร่วมแถลงการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ

น.อ.อนุดิษฐ์ อ่านแถลงการณ์พรรคเพื่อไทยว่า ตามที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย มีมติไม่ร่วมลงชื่อในญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับอำนาจสมาชิกวุฒิสภาในการให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 หรือการยกเลิกสมาชิกวุฒิสภาตาม มาตรา 269 การยกเลิกหน้าที่ และอำนาจของวุฒิสภาในเรื่องการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ ตาม มาตรา 270 การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรยับยั้งไว้ตาม มาตรา 137 (2) หรือ (3) ตาม มาตรา 271 นั้น เนื่องจาก พรรคเพื่อไทย เห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหาแทบทุกหมวด รวมทั้งบทเฉพาะกาล รวมทั้งสิ้น 279 มาตรา หลายปัญหาโยงใยในหลายหมวด แม้แต่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ที่ประกอบด้วยตัวแทนของพรรคการเมืองที่มี ส.ส. เกือบทุกพรรคก็มีความเห็นสอดคล้องกันในเรื่องนี้

นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยเห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีขึ้นเพื่อลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน และมุ่งสืบทอดระบอบเผด็จการอำนาจนิยม โดยเห็นได้จากบทบัญญัติในหลายมาตรา ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระต่างๆ ระบบเลือกตั้ง ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี การปฏิรูปประเทศ ฯลฯ โดยเฉพาะบทเฉพาะกาล ที่จะยิ่งเพิ่มความขัดแย้ง การทุจริตคอร์รัปชัน ความล้มเหลวทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เพราะไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่มีขึ้นเพื่อปกป้อง รับฟัง และยอมรับการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วน พรรคได้ต่อสู้และรณรงค์ไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาตั้งแต่ต้น จนสมาชิกของพรรคหลายคนถูกข่มขู่ คุกคาม ถูกเรียกไปปรับทัศนคติ และถูกดำเนินคดี

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ การแก้ไขประเด็นใดประเด็นหนึ่ง ไม่สามารถทำให้รัฐธรรมนูญกลายเป็นรัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนได้ พรรคเพื่อไทยจึงเห็นว่า มีเพียงหนทางเดียวที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง และยุติระบอบเผด็จการอำนาจนิยม รวมถึงระบบรัฐราชการได้ คือ การสร้างกลไกให้ประชาชนเป็นผู้ร่างและให้ความเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งต้องทำทั้งฉบับ ด้วยการให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และให้ประชาชนทั้งประเทศลงประชามติจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะประชาชนจะเป็นผู้แก้ปัญหาต่างๆของประเทศด้วยตัวเขาเอง ไม่ใช่พวกรัฐประหารที่ชอบอ้างว่าทำเพื่อประชาชน แต่สิ่งนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล และวุฒิสมาชิกอย่างน้อยอีก 84 คน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 พรรคเพื่อไทยจึงได้ยกร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 256 เพื่อให้มี ส.ส.ร. และแก้ไขเงื่อนไขที่ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่แทบเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปตามปกติเช่นรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ

โดยร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 256 ดังกล่าว พรรคเพื่อไทยยกร่างตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 และได้เสนอพรรคร่วมฝ่ายค้าน 7 พรรคในขณะนั้นตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2562 โดยกำหนดว่าจะไม่แก้ไขในหมวด 1 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นรัฐเดี่ยว การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย การคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ตลอดจนความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ รวมทั้ง หมวด 2 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับองค์พระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการแก้ไขทั้งฉบับ เพราะพรรคเพื่อไทยเคยได้รับบทเรียนมาแล้ว ด้วยการถูกกล่าวหา และดำเนินคดีฐานล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และอาจยังมีความพยายามที่จะอ้างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 18-22 / 2555 ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องทำประชามติก่อน แม้คำวินิจฉัยในส่วนนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นแห่งคดีก็ตาม ซึ่งจะยิ่งเสียเวลา และอาจมีการข่มขู่ คุกคาม โกง จนผลประชามติออกมาว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็เป็นได้

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า ดังนั้น พรรคร่วมฝ่ายค้านทั้งหมดจึงเห็นพ้องต้องกันมาตั้งแต่นั้น หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ได้แสดงจุดยืนในประเด็นดังกล่าวมาเป็นระยะ และในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ผู้แทนพรรคเพื่อไทยได้เสนอแนวคิดเรื่อง ส.ส.ร. และเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 256 ให้คณะกรรมาธิการพิจารณา จนมีการแถลงข่าวของประธานคณะกรรมาธิการ และคณะกรรมาธิการ ในวันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563 ว่า จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มี ส.ส.ร. ขึ้น และทางพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ประชุมกันในวันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม 2563 ที่ห้องผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีประเด็นว่า ควรตัดข้อห้ามแก้ไขหมวดที่ 1 และหมวดที่ 2 ออกไปหรือไม่ และควรเสนอขอแก้ไขเรื่องที่มาของวุฒิสภา และอำนาจของวุฒิสภา ตลอดจนมาตรา 279 ที่ให้ประกาศ คำสั่ง และการกระทำของ คสช. มีผลใช้บังคับต่อไปโดยให้ถือว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายด้วยหรือไม่ ซึ่งที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันทั้งหมดว่า ในเบื้องต้นควรเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 ตามร่างเดิมเพียงประเด็นเดียวก่อน และนัดวันยื่นญัตติต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 17 สิงหาคม 2563 ช่วงเช้า โดยขอให้ ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้านร่วมลงชื่อเสนอญัตติ

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวอีกว่า ซึ่งต่อมาก่อนยื่นญัตติ ส.ส.ของพรรคก้าวไกล จำนวน 21 คน ขอถอนชื่อออก โดยให้เหตุผลว่าร่างแก้ไขมาตรา 256 ดังกล่าวมีการสงวนไม่แก้ในหมวดที่ 1 และหมวดที่ 2 ไว้ ทั้งที่ผู้เข้าร่วมประชุมของพรรคก้าวไกลในวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ประกอบด้วย หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค นายรังสิมันต์ โรม และ นายปิยะบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะกรรมาธิการฯ ของพรรคก้าวไกล ได้เห็นชอบในร่างดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นจนถึงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 และเปลี่ยนใจในวันที่ 17 สิงหาคม 2563 พรรคเพื่อไทยจึงขอชี้แจงว่า การดำเนินการของพรรคในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันด้วยการให้มี ส.ส.ร. นั้น เป็นไปโดยสุจริต มุ่งหวังผลสำเร็จที่เป็นจริง จากความร่วมมือกันของทุกฝ่ายให้เป็นโรดแมปของประเทศ เพื่อมีกติกาใหม่ที่ทุกอย่างต้องจบที่กติกานี้ ซึ่งเป็นกติกาของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ไม่มีการสืบทอดอำนาจ หรือให้เผด็จการอำนาจนิยมและรัฐราชการครอบงำประชาชนและสังคมอีกต่อไป พรรคจึงเริ่มจากการขอความเห็นชอบจากพรรคร่วมฝ่ายค้านทุกพรรค จนปัจจุบันพรรคร่วมรัฐบาลก็เห็นด้วย นักเรียน นักศึกษา ประชาชนก็เห็นด้วย และเรียกร้องให้มี ส.ส.ร. จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน แต่ยังมีอุปสรรคอีกมาก จึงต้องแสวงจุดร่วม และสงวนจุดต่างให้มากที่สุด ใช้ความจริงใจ สุจริตใจ และความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกันเป็นสำคัญ ขจัดความหวาดระแวง

ทั้งนี้ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในประเด็นอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องอำนาจของสมาชิกวุฒิสภา ที่มาของวุฒิสภา และ มาตรา 279 นั้น สามารถปรึกษาหารือ และสร้างความเห็นพ้องร่วมกันต่อไปในช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่ใช่การสนองความต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยไม่คำนึงถึงสภาพความเป็นจริง

ด้านนายสุทิน ชี้แจงกรณีที่มีข่าวระบุว่า พรรคเพื่อไทยไม่ร่วมลงชื่อในญัตติของพรรคก้าวไกลเพราะไม่อยากร่วมปิดสวิตซ์ ส.ว. ว่า เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และพรรคเพื่อไทยเห็นว่า การคงไว้ ซึ่งอำนาจของ ส.ว. ไม่เป็นประชาธิปไตย และถ้าคงไว้ก็จะมีผลกระทบ พร้อมย้ำว่า พรรคเห็นด้วยกับหลักการ แต่เห็นต่างในรายละเอียดคือการแก้ไขอำนาจของ ส.ว. จะให้ใครเป็นผู้แก้ และจะแก้เมื่อไหร่ ซึ่งพรรคเห็นว่า ควรให้ ส.ส.ร. แก้ เพราะ ส.ส.ร. เป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม และการที่พรรคไม่ยื่นญัตติแก้ไข ส.ว. ในขณะนี้นั้น ประเมินแล้วว่า ส.ว. จะร่วมโหวตให้ผ่านนั้นเป็นไปได้ยาก จึงเลือกที่จะยื่นญัตติแก้ไขในมาตรา 256 ก่อน

ด้าน นายโภคิน กล่าวว่า ในการประชุม ส.ส.ของพรรคที่ผ่านมา ยังไม่อยากไปร่วมลงชื่อในประเด็นอื่น นอกจากการตั้ง ส.ส.ร. เพราะอยากให้เรื่อง ส.ส.ร. เดินหน้าไปได้ก่อน จากนั้นจะแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนอื่นๆ ซึ่งจะหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอีกครั้งถึงความเหมาะสม เพราะถ้าเดินหน้าแก้ไขไปพร้อมกัน กังวลว่า ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล และ ส.ว. จะไม่สบายใจ และหวาดระแวง ว่าฝ่ายค้านต้องการอะไรกันแน่

ทั้งนี้ นายสมพงษ์ ยอมรับว่า หลังจากนี้ คงต้องมีการพูดคุยเพื่อปรึกษาหารือกับ ส.ส.พรรคก้าวไกลต่อไป