บล.กสิกร ปรับคำแนะนำหุ้น AOT เป็น "ถือ" เคาะเป้าหมาย 56 บาท

บล.กสิกร ปรับคำแนะนำหุ้น AOT เป็น "ถือ" เคาะเป้าหมาย 56 บาท

บล.กสิกร ตัดส่วนลดประเด็น ‘บรรษัทภิบาล’ ของ AOT ออก หลังผู้บริหารยืนยันปรับสัญญาดิวตี้ฟรีโปร่งใส ช่วยรักษาผลประโยชน์ผู้ถือหุ้น หนุนราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 56 บาท จาก 45 บาท

                บล.กสิกรไทย ระบุว่า ได้รับข้อมูลใหม่เกี่ยวกับประเด็นการแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรี ระหว่าง AOT กับกลุ่มคิงเพาเวอร์ หลังจากที่ได้เข้าพบผู้บริหารของ AOT และจากข้อมูลการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อของ นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ AOT โดยข้อมูลชัดเจนมากขึ้นว่า AOT ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างถี่ถ้วน พร้อมชี้แจงว่าการอนุมัติแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรีถือเป็นอำนาจของคณะกรรมการบริหาร ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในการบรรเทาผลกระทบของคู่ค้าของ AOT เมื่อตอนเกิดเหตุการณ์ปิดสนามบิน ปี 2551

                โดยรวมจึงปรับคำแนะนำจาก ขาย เป็น ถือ และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 56 บาท จาก 45 บาท จากการนำส่วนลดราคาหุ้นในเรื่องของบรรษัทภิบาล (CG discount) ออกจากการประเมินมูลค่า ซึ่งเดิมทีให้ส่วนลดประเด็นนี้ 20%

              

  สำหรับประเด็นความเสียหายจากการเลิกสัญญานั้น ผู้บริหาร AOT แจ้งว่า กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ มีสิทธิตามสัญญาที่จะบอกเลิกจากเหตุผลความเสียหายทางธุรกิจที่เกิดขึ้นต่อกลุ่มคิง เพาเวอร์ จากนโยบายรัฐบาลในการปิดน่านฟ้าส่วนใหญ่ โดยที่กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ไม่ต้องถูกยึดเงินประกัน หากเกิดขึ้นจริง เราประเมินว่า AOT อาจจะสูญเสียรายได้ตลอดอายุสัญญาที่ 3.9 แสนล้านบาท (ตามเงื่อนไขเดิม)

                ขณะเดียวกัน เราคาดว่ามูลค่าสัญญาดิวตี้ฟรีจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หากกลุ่มคิง เพาเวอร์ บอกเลิกสัญญา และ AOT ต้องจัดการประมูลขึ้นใหม่ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มูลค่าธุรกิจดิวตี้ฟรีได้รับผลกระทบอย่างหนักจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ดังนั้น การที่ AOT เปลี่ยนเงื่อนไขในสัญญา จึงถือเป็นการรักษาผลประโยชน์ของ AOT และผู้ถือหุ้นอย่างเต็มที่ หากใช้ราคาประมูลของผู้ชนะลำดับที่สองเป็นบรรทัดฐาน มูลค่าสัญญามีโอกาสลดลงกึ่งหนึ่ง

            

   ทั้งนี้ เราคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะกลับมาเท่ากับปี 2562 ที่ 52 ล้านคน ในปี 2566 และจะขึ้นไปแตะระดับ 66 ล้านคน ในปี 2569 ด้วยสมมติฐานนี้ ผลกระทบจากการปรับวิธีคำนวณรายได้การันตีขั้นต่ำจะอยู่ที่ 1.33 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่การฟื้นตัวของจำนวนผู้โดยสารดีกว่าสมมติฐานนี้ ผลกระทบต่อประมาณการจะลดลง ดังนี้ 1) กรณีที่จำนวนผู้โดยสารกลับไปที่ 66 ล้านคน ในปี 2568 ผลกระทบจำอยู่ที่ 1.18 แสนล้านบาท 2) กรณีที่จำนวนผู้โดยสารกลับไปที่ 66 ล้านคน ในปี 2567 ผลกระทบจะอยู่ที่ 9.9 หมื่นล้านบาท และ 3) กรณีที่จำนวนผู้โดยสารกลับไปที่ 66 ล้านคน ในปี 2566 ผลกระทบจะอยู่ที่ 7.9 หมื่นล้านบาท