เปิดเบื้องลึก 'เกาหลีเหนือ' โทษ 'เกาหลีใต้' ต้นตอโควิด-19

เปิดเบื้องลึก 'เกาหลีเหนือ' โทษ 'เกาหลีใต้' ต้นตอโควิด-19

เกาหลีเหนือยืนกรานมาตลอดว่า ไม่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศแม้แต่คนเดียว แต่การที่ผู้แปรพักตร์รายหนึ่งหนีกลับจากเกาหลีใต้ นักวิเคราะห์มองว่า เปียงยางกำลังฉวยโอกาสกล่าวโทษว่าเพื่อนบ้านทางใต้เป็นต้นตอการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศตน

เมื่อวันอาทิตย์ (26 ก.ค.) สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของทางการเกาหลีเหนือรายงานว่า รัฐบาลเปียงยางสั่งปิดเมืองพรมแดนแกซอง หลังพบผู้ต้องสงสัยติดโควิด-19 เป็นชาวเกาหลีเหนือผู้แปรพักตร์ไปอยู่เกาหลีใต้ แล้วข้ามพรมแดนเขตปลอดทหารกลับมายังมาตุภูมิ 

ก่อนหน้านี้หลังจากพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายแรกในจีนแล้วไวรัสแพร่ระบาดไปทั่วทั้งโลก เกาหลีเหนือที่มีพรมแดนติดกับจีนปฏิเสธมาตลอดว่า ประเทศตนไม่มีผู้ติดเชื้อเลยแม้แต่รายเดียว ก่อให้เกิดความสงสัยในหมู่นักสังเกตการณ์

ครั้นเกิดเหตุผู้แปรพักตร์ชาวโสมแดงหนีกลับประเทศและต้องสงสัยว่าติดโควิด ทางการโซลแถลงวานนี้ (27 ก.ค.) ว่าชายคนดังกล่าว ไม่เคยได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้ป่วยโควิด หรือเคยสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ

ทั้งนี้ เกาหลีใต้ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จ ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ดีโดยใช้มาตรการ “ตามรอย ตรวจเชื้อ รักษา” หรือมาตรการ 3T ตรวจหาเชื้อกว่า 1.5 ล้านครั้ง

ส่วนเกาหลีเหนือ ประเทศเพื่อนบ้านบนคาบสมุทรเกาหลี นักวิเคราะห์กล่าวว่า เป็นไปได้ว่าต้องมีผู้ติดโควิดแล้ว และเปียงยางกำลังหาทางกล่าวโทษโซลแทนที่จะโทษปักกิ่ง พันธมิตรเก่าแก่ ผู้สนับสนุนหลักในเวทีการทูตและคู่ค้ารายใหญ่สุด

“เกาหลีเหนืออาจพยายามใช้การหวนกลับมาของผู้แปรพักตร์ ได้ทีกล่าวโทษถึงต้นเหตุของการแพร่ระบาด ทั้งๆ ที่ระบาดมาก่อนอยู่แล้ว หรือหากการกักตัวในอนาคตล้มเหลว โดยอาจอ้างว่าเกาหลีใต้ดูแลพรมแดนหละหลวม หรืออาจถึงขนาดที่ว่าว่าเกาหลีใต้จงใจปล่อยผู้แปรพักตร์กลับมาฝั่งเหนือเพื่อเอาไวรัสมาแพร่”ราเชล ลี อดีตนักวิเคราะห์เกาหลีเหนือในรัฐบาลสหรัฐกล่าว

ดูยอน คิม ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลี จาก “อินเตอร์เนชันแนลไครสิสกรุ๊ป” กล่าวเพิ่มเติมผ่านทวิตเตอร์ว่า การตำหนิผู้ติดเชื้อจากเกาหลีใต้ทำให้เกาหลีเหนือสามารถรับความช่วยเหลือจากเกาหลีใต้ได้อย่างชอบธรรมและเปิดเผย

“เกาหลีเหนืออาจพูดถึงผู้แปรพักตร์ได้มากกว่าเดิม ป้ายสีพวกเขาว่าเป็นศัตรูของรัฐ”

หลายสัปดาห์ก่อนเปียงยางประณามผู้แปรพักตร์ที่ปล่อยใบปลิวข้ามพรมแดน รวมถึงประณามรัฐบาลโซลอย่างหนัก ถึงขนาดระเบิดสำนักงานประสานงานสองชาติเกาหลีที่เมืองแกซอง ส่งผลให้ความสัมพันธ์สองชาติเกาหลีที่มึนตึงกันอยู่แล้ว ยิ่งแย่ลงไปอีก

ส่วนผู้แปรพักตร์ชาวโสมแดงนั้น หายากมากที่จะกลับไปบ้านเกิด นักสิทธิมนุษยชนเผยว่า ขืนกลับไปต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง กระทรวงรวมชาติของเกาหลีใต้เผยว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีเพียง 11 คนเท่านั้นที่หนีมาเกาหลีใต้ แล้วกลับไปเกาหลีเหนือ

แต่ที่เกิดขึ้นยากยิ่งกว่าคือการเดินทางผ่านเขตปลอดทหาร พรมแดนที่ดูแลความปลอดภัยเข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะเต็มไปด้วยกับระเบิดและป้อมทหาร

แต่กองทัพเกาหลีใต้เผย เชื่อกันว่าผู้แปรพักตร์ชาวเกาหลีเหนือคนหนึ่ง ข้ามกลับไปบ้านเกิดจากเกาะกังฮวา ที่ตั้งอยู่บนปากแม่น้ำฮัน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงโซล

เรื่องนี้ทางการไม่ได้ยืนยันมีแต่รายงานข่าวจากสื่อหลายสำนักรวมทั้งกลุ่มผู้แปรพักตร์ด้วยกันเอง บอกว่า  ชายวัย 24 ปี แปรพักตร์มาเมื่อปี 2560 ด้วยวิธีการว่ายข้ามแม่น้ำมาเหมือนกับตอนที่กลับไป เขาถูกกล่าวหาว่าข่มขืนและกำลังถูกสอบสวนในเกาหลีใต้

เดือนก่อนเขาเคยปรากฏตัวในช่องยูทูบของผู้แปรพักตร์อีกคนหนึ่ง เล่าเรื่องตอนที่ว่ายน้ำข้ามมา 7 ชั่วโมงกว่าจะถึงฝั่งใต้

“หลังจากนั้น ผมร้องไห้อยู่ 10 วัน คิดถึงครอบครัว” ผู้แปรพักตร์กลับไปกลับมารายนี้เล่า 

หน่วยงานสาธารณสุขเกาหลีใต้กล่าวว่า ไม่มีชื่อชายคนนี้ในฐานข้อมูลผู้ติดเชื้อยืนยันแล้ว หรือคนที่สัมผัสผู้ป่วย

ยุน แทโฮ จากสำนักงานใหญ่จัดการภัยพิบัติกลาง กล่าวเสริมว่าประชาชน 2 คนที่ติดต่อกับชายคนนี้ถูกตรวจหาเชื้อเมื่อวันอาทิตย์ ได้ผลเป็นลบทั้งคู่

เป็นที่ทราบกันดีว่า ระบบสาธารณสุขในเกาหลีเหนือขาดแคลนขนาดหนัก เกินกว่าจะรับมือกับโรคระบาดใด ๆ ได้ เปียงยางใช้วิธีปิดพรมแดนตั้งแต่ปลายเดือน ม.ค. เป็นประเทศแรกของโลกที่ทำแบบนี้ เพืื่อป้องกันตนเองจากโควิด

ครั้นมีผู้แปรพักตร์หนีกลับมา สำนักข่าวเคซีเอ็นเอย้ำว่า “สถานการณ์ในแกซองอาจนำไปสู่ภัยพิบัติร้ายแรงถึงแก่ชีวิต” ราวกับจะตอกย้ำว่า หากเกิดอะไรร้ายแรงในเกาหลีเหนือต้นเหตุหนีไม่พ้นเกาหลีใต้