เดือดไม่เลิก! นักข่าว CNN ถูกจับเหตุประท้วงผิวสีมินนิโซตา

เดือดไม่เลิก! นักข่าว CNN ถูกจับเหตุประท้วงผิวสีมินนิโซตา

ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาของสหรัฐ ขอโทษเหตุตำรวจจับนักข่าว 3 คนของ CNN ขณะออกอากาศสด พร้อมเรียกร้องให้มีการยุติความรุนแรงจากการประท้วงของประชาชนที่ไม่พอใจต่อการกระทำของตำรวจต่อชาวผิวสี และเขาหวังว่าเจ้าหน้าที่ซึ่งกระทำความผิดจะถูกดำเนินคดีอย่างรวดเร็ว

นายทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา แถลงว่า “เราจะต้องฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยในสังคม โดยเราไม่สามารถปล่อยให้การปล้นสะดมยังคงเกิดขึ้น”

นอกจากนี้ นายวอลซ์ ยังได้ขอโทษต่อการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจรวบตัวนักข่าวซีเอ็นเอ็นและทีมงานที่ได้ไปทำข่าวการประท้วงของประชาชนในรัฐมินนิโซตา

ทั้งนี้ ประชาชนไม่พอใจต่อการที่นายจอร์จ ฟลอยด์ ชาวผิวสีวัย 40 ปี เสียชีวิตในระหว่างการเข้าจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยการประท้วงได้ลุกลามจนกลายเป็นความรุนแรง เนื่องจากมีการเผาทำลายสิ่งของและปล้นสะดมในเมืองมินนีแอโพลิส ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของรัฐ

ตำรวจมินนิโซตาได้จับกุมตัวนายโอมาร์ จิมิเนซ นักข่าวซีเอ็นเอ็น ซึ่งเป็นชาวผิวสี ขณะกำลังทำข่าวการประท้วงของประชาชนในรัฐมินนิโซตา โดยไม่มีการแจ้งเหตุผล พร้อมกับใส่กุญแจมือนายจิมิเนซ และทีมงานอีก 2 ราย แต่นายจิมิเนซและทีมงานได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมา หลังจากถูกควบคุมตัวเป็นเวลาราว 1 ชั่วโมง

ทั้งนี้ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา ประกาศภาวะฉุกเฉิน หลังเหตุประท้วง จอร์จ ฟลอยด์ ทวีความรุนแรงบานปลายสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างมีทั้งไฟไหม้และฉกชิงทรัพย์

เมื่อวันพฤหัสบดี (28 พ.ค.) นายวอลซ์ ประกาศภาวะฉุกเฉินและสั่งการให้กองกำลังพิทักษ์ชาติมินนิโซตาออกปฏิบัติการเพื่อฟื้นฟูความเป็นระเบียบเรียบร้อย หลังประชาชนออกมาประท้วงเหตุ จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำคนหนึ่งเสียชีวิตระหว่างถูกตำรวจจับกุมตัว โดยการประท้วงทวีความรุนแรงในช่วงข้ามคืนวันพุธ (27 พ.ค.) เกิดเหตุไฟไหม้และฉกชิงทรัพย์ในร้านค้าหลายแห่งของมินนิแอโพลิส ซึ่งเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่สุดของรัฐมินนิโซตา

นายจอร์จ ฟลอยด์ วัย 40 ปี เสียชีวิตเมื่อเย็นวันจันทร์ (25 พ.ค.) ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวใช้หัวเข่ากดลำคอของเขาแนบกับพื้นถนน ฟลอยด์คร่ำครวญหลายต่อหลายครั้งว่า “ผมหายใจไม่ออก” และ “ได้โปรดเถอะ ผมหายใจไม่ออก” ก่อนจะเสียชีวิต ด้านสำนักตำรวจท้องถิ่นออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 4 คน ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้และปลดพวกเขาออกจากตำแหน่ง

นายวอลซ์ ประกาศภาวะฉุกเฉินหลังนายเจค็อบ เฟรย์ นายกเทศมนตรีเมืองมินนิแอโพลิส ขอความช่วยเหลือเมื่อการจลาจลช่วงข้ามคืนวันพุธ สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างและเกิดเหตุฉกชิงทรัพย์อย่างอุกอาจ

“การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ควรนำไปสู่ความยุติธรรมและการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ไม่ใช่สร้างความเสียหายและการสูญเสียชีวิตประชาชนเพิ่มขึ้น” แถลงการณ์จากนายวอลซ์ ระบุ “นี่เป็นเวลาของการรื้อสร้าง เราต้องรื้อสร้างเมือง กระบวนการยุติธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับประชาชนที่พวกเขามีหน้าที่ปกป้องดูแล”

สตาร์ ทริบูน หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น รายงานว่า เสนาธิการผู้ช่วยฝ่ายบริหารของกองกำลังพิทักษ์ชาติจะทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อจัดส่งเจ้าหน้าที่ อุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการรับมือและฟื้นฟูเมืองจากภาวะฉุกเฉินครั้งนี้

นอกจากนั้น กองลาดตระเวนมินนิโซตายังจัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ 200 นาย เฮลิคอปเตอร์ และอากาศยานประเภทอื่น เพื่อเข้าช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ควบคุมสถานการณ์

รายงาน ระบุว่า การประท้วงเริ่มขึ้นอย่างสันติในคืนวันพุธ ก่อนจะเริ่มมีการยิงปืนและวางเพลิง ซึ่งทำให้ไฟลุกไหม้อาคารราว 30 หลัง และสร้างความเสียหายให้อาคารอื่นอีกจำนวนมาก โดยเจ้าหน้าที่เมืองมินนิแอโพลิส ระบุว่า มีการก่อตั้งศูนย์บัญชาการ ซึ่งจะทำให้หลายหน่วยงานสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงหารือกับพื้นที่อื่นที่อาจให้ความช่วยเหลือ เพื่อเตรียมรับมือการประท้วงในวันพฤหัสบดี (28 พ.ค.)

การเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ จุดกระแสประท้วงเรียกร้องความยุติธรรมทั่วสหรัฐ โดยเกิดการประท้วงในหลายเมืองหลายเมื่อคืนวันพุธอาทิ ลอสแอนเจลิส และเมมฟิส