สร้างสรรค์ธุรกิจ ในรูปแบบของ 'Shopify'

สร้างสรรค์ธุรกิจ ในรูปแบบของ 'Shopify'

ในสังเวียนอีคอมเมิร์ซหลายคนคงเคยได้ยินชื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon แต่ยังมีอีกรายที่มาแรงก็คือ Shopify ที่ยังคงมองเห็นช่องว่างในวงการนี้ สร้างธุรกิจและนวัตกรรมที่แตกต่างจนเป็นที่นิยม ดังนั้นมาเทียบกันชัดๆ ว่าทั้ง 2 รายต่างกันอย่างไร? ทำไมเติบโตรวดเร็ว?

ผู้อ่านทุกท่านคงคุ้นหูกับบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้าน e-commerce ชื่อดัง บริษัท Amazon ซึ่งก่อตั้งโดย Jeff Bezos ดำเนินการเกี่ยวกับการให้บริการค้าปลีกออนไลน์และการจัดส่งโดยตรงไปยังลูกค้าที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในระยะเวลามากกว่าสิบปีที่ผ่านมา

ในอาทิตย์นี้เราจะมาคุยกันถึงบริษัท Shopify ซึ่งเป็นบริษัท e-commerce ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ความแตกต่างระหว่างสองบริษัทเป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทั้งสองบริษัทอยู่ในธุรกิจเดียวกัน เเละ Shopify เป็นบริษัทที่เข้าสู่ธุรกิจในระยะหลังจาก Amazon ซึ่งครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่เกือบทั้งหมด เพื่อผู้ประกอบการจะได้เรียนรู้ในการสร้างธุรกิจและนวัตกรรมที่แตกต่างจากที่มีอยู่แล้ว

Shopify ถูกก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.2004 ที่เมืองออตตาวา ประเทศแคนาดา โดยมีจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ เนื่องจากทั้งสามคนพยายามเปิดร้านขายของอุปกรณ์สโนว์บอร์ดออนไลน์ แต่ไม่พึงพอใจกับผลิตภัณฑ์แพลตฟอร์ม e-commerce ที่มีอยู่ในตลาด

ทั้งสามคนจึงมีความริเริ่มในการจะสร้างร้านค้าออนไลน์ของตนเองแทนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในตลาด ซึ่งทั้งสามคิดว่าไม่ตอบโจทย์ในการขายของสำหรับร้านค้าออนไลน์ บริษัทได้พัฒนาเพลตฟอร์มอีคอมเมอร์ซอย่างต่อเนื่อง และได้เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กและตลาดหลักทรัพย์โตรอนโต ในปี ค.ศ.2015

Shopify เป็นแพลตฟอร์มการค้าบนคลาวด์ที่ออกแบบมาสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยผู้ใช้สามารถดำเนินธุรกิจในทุกช่องทางการขาย ซึ่งรวมไปถึงหน้าร้านขายของทางมือถือและหน้าร้านขายของทางโซเชียลมีเดีย 

โดยจุดเด่นของ Shopify คือการให้ผู้ใช้สามารถสร้างร้านค้าออนไลน์ บริหารจัดการผลิตภัณฑ์ให้ตรงต่อความต้องการของลูกค้า ยิ่งกว่าไปกว่านั้นแพลตฟอร์มสามารถช่วยการจัดการผลิตภัณฑ์ บริหารสินค้าคงคลัง จัดการคำสั่งซื้อ และการชำระเงินในระบบเดียว ด้วยระบบที่สามารถบริหารจัดการทุกอย่างได้ก่อเกิดประโยชน์อย่างสูงกับร้านผู้ขายออนไลน์ ซึ่งสามารถนำข้อมูลทุกอย่างมาวิเคราะห์และประมวลผลเพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า สิ่งเหล่านี้ทำให้ Shopify เป็นที่ยอมรับอย่างสูงในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา

ในปัจจุบัน Shopify มีร้านค้าออนไลน์อยู่ประมาณหนึ่งล้านราย เมื่อเทียบกับผู้ขายใน Amazon ซึ่งมีประมาณสองล้านราย ปัจจัยใดที่สามารถทำให้ Shopify ประสบความสำเร็จ การสร้างความแตกต่างจากแพลตฟอร์มของ Amazon

โดยผมขอชี้จุดแตกต่างที่สำคัญของแพคฟอร์มทั้งสองเเบบ เพื่อเป็นกรณีศึกษาในการสร้างนวัตกรรมและพัฒนาธุรกิจให้ตอบโจทย์กับผู้บริโภค ความต่างที่สำคัญของ Amazon เเละ Shopify ดังนี้

  • Amazon เป็น e-marketplace โดยผู้ขายสินค้าสามารถลงรายละเอียดสินค้า เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถเลือกดูสินค้าและบริการ คล้ายฯกับ Lazada ในประเทศไทย ส่วน Shopify เป็นรูปแบบของร้านค้า e-commerce ซึ่งผู้ใช้สามารถสร้างร้านค้าออนไลน์ของตนเองได้ในรูปแบบที่ผู้ใช้คิดว่าจะสามารถดึงดูดผู้บริโภคให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์

  • ผู้ใช้บริการของ Amazon ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกไปหาผู้ซื้อด้วยตนเอง เนื่องจากผู้ซื้อเป็นผู้เข้ามาใช้บริการเลือกซื้อของในเพลตฟอร์มอยู่เป็นจำนวนมากเนื่องจากมีสินค้าและผลิตภัณฑ์หลากหลาย ซึ่งต่างจาก Shopify โดยร้านค้าจะต้องหาลูกค้ามาที่ร้านค้าออนไลน์ด้วยตนเอง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายและการฝึกฝนเรียนรู้ประชาสัมพันธ์ในการเริ่มต้นธุรกิจในแพลตฟอร์ม

  • ค่าใช้จ่ายเป็นปัจจัยหลักในการเลือกใช้บริการ ในส่วนของ Amazon ค่าใช้จ่ายของผู้ใช้บริการจะเกิดขึ้นเมื่อเกิดการขายในรูปแบบของคอมมิชชั่น ในส่วน Shopify ค่าใช้จ่ายหลักจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นในการสร้างรูปแบบของร้านออนไลน์และค่าประชาสัมพันธ์ แต่ผู้ใช้บริการไม่จำเป็นที่จะต้องเสียค่าคอมมิชชั่น จะเป็นในรูปแบบของค่าใช้จ่ายรายเดือนซึ่งมีราคาไม่แพง

เราจะเห็นได้ว่า Business Model ของทั้งสองบริษัทมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ผู้ก่อตั้ง Shopify ได้เล็งเห็นถึงช่องว่างในการประกอบธุรกิจและพัฒนานวัตกรรม ที่ตอบโจทย์กับผู้ใช้อีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการสร้างร้านค้าออนไลน์เป็นของตัวเอง มากกว่าการนำสินค้าและผลิตภัณฑ์ไปใส่ไว้ในแพลตฟอร์มขายของทั่วไป ซึ่งช่องว่างนี้ทำให้ Shopify เป็นหนึ่งในบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วของโลก