'ครองสติ' คลายล็อกดาวน์ อย่าให้ระบาดหนักกลับมา

'ครองสติ' คลายล็อกดาวน์ อย่าให้ระบาดหนักกลับมา

จากมาตรการคลายล็อกดาวน์ที่รัฐบาลผ่อนปรนให้กิจการและกิจกรรมบางประเภทเปิดดำเนินการได้ ก็เพื่อให้ประชาชนและภาคสามารถเป็นไปตามปกติอีกครั้งนั้น สิ่งที่ต้องตระหนักและอย่าประมาท คือการตั้งสติในการป้องกันการแพร่เชื้อ ไม่เช่นนั้นอาจต้องกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่

แม้ว่าในขณะนี้ทั่วโลกกำลังระดมสติปัญญาคิดค้น “วัคซีน” เพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ซึ่งระบาดลามไปทั่วโลก โดยยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลก ณ วันที่ 4 พ.ค. เวลา 10.00 น. อยู่ที่กว่า 3.5 ล้านราย มีผู้เสียชีวิต 2.4 แสนราย จำนวนผู้ติดเชื้อยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตราบที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ต้องใช้เวลานาน 1 ปีหรือ 1 ปีครึ่งจากนี้

ในช่วงเวลาดังกล่าว จึงถือเป็นช่วงเวลาที่คนไทยทั้งประเทศจะต้องช่วยกันสกัดการแพร่ระบาดของโรค โดยเฉพาะการดูแลตัวเองให้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่ทำตัวเองเป็นพาหะ ด้วยการปฏิบัติตามข้อแนะนำของทางการอย่างเคร่งครัด เช่น เว้นระยะห่างทางสังคม สามหน้ากากอนามัย กินของร้อน ล้างมืออยู่เสมอ เป็นต้น โดยที่ผ่านมาถือเป็นเรื่องน่ายินดี ที่ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในไทยมีค่าเฉลี่ยลดลงอย่างต่อเนื่อง จนรัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ให้ 6 ประเภทกิจการสามารถเปิดดำเนินการได้ ภายใต้เงื่อนไขด้านสุขอนามัย เมื่อวันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา

ในวันเดียวกันนี้ รัฐบาลยังอนุญาตให้ห้างร้านสามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เฉพาะที่ซื้อนำกลับบ้าน ไม่ให้ดื่มในร้าน ทว่าภาพที่เห็นในโลกโซเซียลหลังจากปลดล็อกครั้งนี้ คือการ “รุมซื้อ” สินค้าดังกล่าว ชนิดยกกล่อง ยกลัง เป็นจำนวนมาก จนอาจลืมไปชั่วขณะจิตว่า “เรากำลังเว้นระยะห่างทางสังคม” กันอยู่ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจึงถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจไม่น้อย โดยผู้คนอาจต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ถึงความจำเป็นในการร่วมกันปฏิบัติตัว เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 หากไม่ต้องการให้การระบาดกลับมาหนักอีก ซึ่งเมื่อจุดนั้น จากการคลายล็อกดาวน์ก็จะหมดความหมาย รัฐก็จะกลับมาดำเนินการมาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดอีกครั้ง

เราเห็นว่า ในภาวะที่การระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง พร้อมไปกับการค่อยๆ ผ่อนคลายล็อกดาวน์ของภาครัฐเป็นเรื่องที่ดี ที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเคลื่อนกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ กลายมาเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่นี้ ขณะที่ผู้คนก็จะกลับมามีชีวิตที่เป็นปกติสุขมากขึ้นเป็นลำดับ 

อย่างไรก็ตาม การจะดำเนินการเช่นนี้ได้นั้น เป็นเรื่องที่ “ทุกคน” ต้องช่วยกัน ประคับประคองสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ดีขึ้นนี้ให้ตลอดรอดฝั่ง หาไม่แล้ว โรคระบาดก็คอยจะจำกัด “อิสระเสรีภาพ” ของเราต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด สูตรในการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรค ในช่วงเวลาที่ยังไม่มีวัคซีน จึงหนีไม่พ้นการยึดตำรา “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ทำตัวเองให้ปลอดโรค มาร่วมกัน “หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” อย่างจริงจัง และต่อเนื่อง ที่สำคัญต้อง “ครองสติ” อย่าให้หลุดแม้รัฐจะคลายล็อกลงบ้างแล้ว ก็ตาม