'สภาเกษตรกร' ชี้มาตรการรัฐแก้ปาล์มไร้ผล ราคาร่วงต่อเนื่อง

'สภาเกษตรกร' ชี้มาตรการรัฐแก้ปาล์มไร้ผล ราคาร่วงต่อเนื่อง

สภาเกษตร ชี้ รัฐมาตรการแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันรัฐไร้ผล แค่ประวิงเวลา ขณะราคาปาล์มดิบร่วงเหลือ 2.50 บาทต่อ กก. แนะเกษตรกรอดทนรอโควิดผ่าน

นายพันศักดิ์ จิตรรัตน์ ประธานคณะกรรมการด้านปาล์มน้ำมันและพืชพลังงาน สภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวว่า การระบาดโควิด-19 กระทบกับสินค้าเกษตรทุกกลุ่ม ในพื้นที่ของกลุ่มเกษตรกรชาวสวนปาล์มเองพบว่าราคาปรับตัวลดลงเหลือ 2.50 บาท ณ ลานเท ขณะที่เป็นช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากแต่ขายได้ราคาไม่ดี รายได้เกษตรกรลดลงตามไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ สภาเกษตรกรแห่งชาติขอให้เกษตรกรอดทนเพื่อให้ผ่านวิกฤต และขอให้มองวิกฤตเป็นโอกาส การทำสวนเกษตรบางกลุ่มอาจทำแค่ประมาณ 30-50% ตอนนี้ทำได้เป็น 100% เพราะรัฐบาลสนับสนุนให้ทำงานที่บ้าน เกษตรกรเข้าสวนทำไร่ ทำนาในพื้นที่ของตัวเองเติมเต็มให้ดีที่สุด ในภายภาคหน้าเชื่อแน่ว่าโรคต้องหายไป และสิ่งที่เกษตรกรได้ทุ่มเททำจริงจัง 100% ในขณะนี้ผลผลิตที่จะออกมาต้องดีในช่วงปลายทางแน่นอน

ในขณะที่การจัดการปาล์มในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา พบว่าปัญหา​หลัก คือ เกษตรกรนำเสนอปัญหาและแนวทางแก้ไขไปยังหน่วยงานภาครัฐ​ที่เกี่ยวข้อง รับทุกเรื่องแต่ทำไม่ตรงตามห้วงเวลาที่เหมาะสม เช่น การเสนอเรื่องโครงสร้างราคาที่เป็นธรรม ที่ยังไม่มีความคืบหน้า การติดมิเตอร์แบบเรียลไทม์​ โดยขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้กำหนดประกาศให้โรงสกัดหรือผู้ซื้อน้ำมัน ผู้ค้าน้ำมันต้องมีมิเตอร์ด้วยตนเองแต่หน่วยงานรัฐบอกว่าสามารถจะบังคับซื้อให้ติดตั้งได้

รวมทั้งล่าสุดเสนอให้รัฐบาลพิจารณาอนุมัติแต่กระทรวงการคลังไม่สามารถอนุมัติได้ เพราะจะนำงบราชการไปติดตั้งให้บริษัทไม่ได้ ต้องบังคับให้บริษัทติดตั้งเอง แต่ระบบส่วนกลางต้องเป็นของราชการทำให้เป็นปัญหาที่ไม่สามารถดำเนินการได้

ด้านสต็อกน้ำมันปาล์มสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า จ.กระบี่ ไม่สามารถดำเนินการได้ต้องใช้โรงไฟฟ้าที่บางปะกงผลิตกระแสไฟฟ้าแทน ทำให้เกิดปัญหาหลายอย่าง เช่น การบริหารจัดการสต็อกน้ำมันปาล์มสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า 130,000 ตันการบริหารสต็อกน้ำมันภายในประเทศเพื่อให้อยู่ในระดับเซฟตี้สต็อกควรอยู่ประมาณ 250,000 ตัน

 “สำคัญที่สุดคือหน่วยงานของรัฐ ทำงานไม่ตรงกับห้วงเวลา สร้างความแคลงใจว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง และสุดท้ายใช้วิธีการเอาเงินของรัฐเพื่อมาประกันราคาและจ่ายชดเชยให้เกษตรกร ซึ่งหน่วยงานของรัฐควรมีแผนบริหารจัดการที่ชัดเจนและทำให้ถูกต้องตามห้วงเวลาด้วย”

รวมทั้งได้ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด​เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้มาตรการบังคับใช้ข้อกฎหมาย ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมประกาศกฎกระทรวง เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดปาล์มน้ำมัน ของโรงงานเพื่อให้มีเปอร์เซ็นต์น้ำมันสูงขึ้นโดยอาศัยตามหลักความตามมาตรา 32(2) แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2553 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ประกาศให้โรงสกัดAต้องสกัดไม่ต่ำกว่า 18%โรงสกัดBต้องสกัดไม่ต่ำกว่า 30%

คือ หากเปอร์เซ็นต์น้ำมันสูงจะทำให้ราคาดี หมายถึงการนำปาล์มที่ดีมีคุณภาพเข้าไปสกัดแล้วได้น้ำมันเยอะขึ้น ซึ่งปัจจุบันนี้โรงสกัดบางโรงสกัดได้แค่ประมาณ 14-15% เท่านั้น ด้วยเพราะโรงงานซื้อปาล์มไม่ค่อยมีคุณภาพ แล้วแยกลูกร่วงทำให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันต่ำ ราคาcpoซึ่งต่ำอยู่แล้วฉุดให้ราคาผลผลิตของปาล์มตกต่ำไปด้วย ซึ่งการบังคับใช้ข้อกฎหมาย​นี้สามารถจะทำให้ราคาเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ

ส่วนการเสนอไปรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คือ พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 สินค้าต่างในพระราชบัญญัติดังกล่าวโดยการบังคับใช้ให้เกิดความเป็นธรรมเพื่อให้สอดคล้องกับราคาสินค้าในท้องตลาดและเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานสร้างความยุติธรรม

 “หากระบบการทำงานหน่วยงานของรัฐไม่ทำงานด้วยระบบความยุติธรรม ก็จะเกิดปัญหากับประเทศต่อไปในภายภาคหน้ามากขึ้นๆ จนอาจทำให้เกิดปัญหาที่ไม่สามารถบริหารจัดการได้ อยากมองเห็นการทำงานของหน่วยงานภาครัฐสามารถประสานทุกฝ่ายสร้างความเป็นธรรมและเป็นกลางให้แก่ทุกกลุ่มอาชีพช่วยกันพัฒนาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้า”