คดีเสี่ยบอยตุนหน้ากากอนามัย รอ 'กรมการค้าภายใน' แจ้งดำเนินคดี

คดีเสี่ยบอยตุนหน้ากากอนามัย รอ 'กรมการค้าภายใน' แจ้งดำเนินคดี

“สุวัฒน์” เผยแนวทางการเอาผิด “เสี่ยบอย” สำนวนหลัก ตั้งประเด็นข้อเท็จจริงการกักตุน 200 ล้านชิ้น ส่งข้อมูลตรวจค้น คำสั่งซื้อขายออนไลน์ พฤติการณ์รับค่านายหน้า รอ “กรมการค้าภายใน” พิจารณาร้องทุกข์แสดงตัวเป็นผู้เสียหาย แยกสำนวนธุรกรรม ส่ง ป.ป.ง.ดำเนินการ

หลังจากที่ตำรวจจัดกำลังเข้าตรวจค้น 6 จุดเป้าหมายในพื้นที่ กรุงเทพฯและชลบุรี เพื่อหาความเชื่อมโยงกับนายสรสุวรีร์ ภู่รวีร์รัศวัชรี หรือ เสี่ยบอย ซึ่งในวันเดียวกันนั้น เดินทางไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเข้าชี้แจ้งถึงประเด็น คำอวดอ้างว่าสามารถจัดหาหน้ากากอนามัยได้มากกว่า 200 ล้านชิ้น รวมถึงคำอธิบายความเกี่ยวข้องกับนายพิตตินันท์ รักเอียด อดีตคณะทำงานของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 

ล่าสุด วันนี้(11 มี.ค.63) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการเรียกสอบสวนปากคำพยาน เป็นอำนาจที่ตำรวจมีในการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยเฉพาะในประเด็นที่เสี่ยบอยอ้างว่า มีหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้น จนทำให้สังคมเกิดความสับสนและตื่นตระหนก โดยประเด็นที่สังคมตั้งข้อสงสัย คือมีการกักตุนหน้ากากอนามัยจริงหรือไม่ เรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวน และได้ส่งผลการตรวจสอบข้อมูลให้กรมการค้าภายในรับไปพิจารณาแล้ว ซึ่งต้องรอให้กรมการค้าภายในเข้าแจ้งความร้องทุกข์อย่างเป็นทางการก่อน จึงจะมีการสอบสวนประเด็นนี้ได้เต็มที่ 

“ขอยืนยันว่านายกรัฐมนตรีได้ให้ความสนใจกับประเด็นนี้ และได้สั่งการให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อคลายความสงสัยให้กับสังคม” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าว 

ส่วนประเด็นที่พบว่า เสี่ยบอย เป็น กต.ตร. และเคยไปถ่ายภาพในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งร่วมกับตำรวจหลายนาย เรื่องนี้จะหารือกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอีกครั้ง ว่าต้องมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือไม่ เพราะผู้ที่จะมาเป็น กต.ตร. ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ ไม่ใช่ใครจะมาเป็นก็ได้

มีรายงานข่าวว่า การตรวจค้นโรงงานย่านมีนบุรี ที่พบมีการเก็บหน้ากากอนามัย 500,000 ชิ้น และมีรายงานตัวเลขการจัดสรรหน้ากาก ส่วนการตรวจค้นบริษัทเอกชนย่านหนองแขม พบหน้ากากอนามัยประมาณ 10,000 ชิ้น ซึ่งจากการสอบสวน มีการอ้างว่าสั่งซื้อผ่านเว็บออนไลน์ เพื่อเตรียมนำไปบริจาค ซึ่งผลการตรวจสอบทั้ง 2 จุด มีการส่งข้อมูลให้กรมการค้าภายในรับไปตรวจสอบแล้ว แต่ยังไม่ได้รับรายงานกลับมาว่า การจัดสรรดังกล่าวพบความผิดปกติใดหรือไม่ ประกอบกับยังไม่มีการมอบอำนาจให้ตำรวจเข้าไปดำเนินการสอบสวน จึงยังไม่สามารถสอบสวนในคดีที่เกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากากได้

ทั้งนี้ การสอบปากคำเสี่ยบอยที่ผ่านมา ก็ยอมรับว่า เคยมีการซื้อขายหน้ากากอนามัย 200,000 ชิ้น แต่เป็นลักษณะการนำผู้ขายมาเจอกับผู้ซื้อโดยตรง โดยจะได้รับส่วนแบ่ง 50 สตางค์ต่อหน้ากาก 1 ชิ้น ส่วนเรื่องการตรวจสอบเส้นทางการเงินของเสี่ยบอย เร็วๆ นี้จะส่งข้อมูลให้ ปปง. รับไปตรวจสอบว่ามีการทำธุรกรรมใดผิดปกติหรือไม่

ส่วนประเด็นที่นักแสดงชื่อดัง “พีท ทองเจือ” และบริษัท อาลี บาบา จะขอดำเนินคดีกับเสี่ยบอย ที่นำไปแอบอ้างทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง จะยังไม่นำเข้ามารวมในสำนวนคดีหลัก