ห่วงธุรกิจครอบครัว 'ปิดตัว' เซ่นพิษ 'เศรษฐกิจ-โควิด19'

ห่วงธุรกิจครอบครัว 'ปิดตัว' เซ่นพิษ 'เศรษฐกิจ-โควิด19'

PwC เปิดเผยรายงานผลสำรวจผู้นำธุรกิจครอบครัวไทยฉบับแรก หรือ "NextGen Survey 2019" ฉบับประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรายงานผลสำรวจ Global NextGen Survey 2019 สำรวจจากผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่ทั่วโลกจำนวนกว่า 950 ราย รวมทั้งผู้นำธุรกิจครอบครัวไทย

นิพันธ์ ศรีสุขุมบวรชัย หัวหน้าสายงาน Clients and Markets หัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจครอบครัว และหุ้นส่วนสายงานภาษีและกฎหมาย บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจครอบครัวไทย กำลังเผชิญกับความท้าทายจากการที่เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก จะยังคงอยู่ในสภาวะเช่นนี้ไปอีกพักใหญ่  เพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายด้าน

ในส่วนของไทย ปัญหาภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมทั้งการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลให้เกิดภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานและการผลิตในบางกลุ่มอุตสาหกรรม  รวมถึงการบริโภคภายในประเทศที่ลดลงตามกำลังซื้อที่หดตัว จากการขาดรายได้ของแรงงานภาคการขนส่งและท่องเที่ยว เกษตรกรมีรายได้ลดลงจากปัญหาภัยแล้ง และกลุ่มผู้ใช้แรงงานในภาคอุตสาหรรม ได้รับผลกระทบจากโรงงานหรือภาคการผลิตทยอยปิดตัวชั่วคราวและถาวร 

ประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวนี้อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจครอบครัว ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อย หรือเอสเอ็มอี รวมไปถึงบริษัทขนาดเล็กที่มีเงินทุนหมุนเวียนไม่สูง  หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 เดือนนี้ อาจเห็นธุรกิจขนาดเล็กเริ่มปิดกิจการ ในระหว่างนี้ธุรกิจครอบครัวและเอสเอ็มอีขนาดเล็ก จะต้องตั้งรับกับสถานการณ์ให้ดี โดยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเพื่อประคับประคองธุรกิจให้รอดพ้นจากความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ

“เศรษฐกิจไทยปีนี้ได้รับผลกระทบหนักกว่าเดิม เพราะเราเจอทั้งปัญหาภัยแล้ง และการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้กำลังซื้อหดตัวมากขึ้น ซึ่งน่าเป็นห่วงว่า การระบาดของไวรัสนี้ อาจจะเป็นชนวนที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกรอบใหม่ได้ จึงต้องติดตามว่า สถานการณ์จะกินเวลานานแค่ไหน จึงจะควบคุมการแพร่ระบาดได้ ซึ่งหากยืดเยื้อ เรามองว่า น่าจะเห็นธุรกิจครอบครัว หรือบริษัทขนาดเล็กล้มหายไปจากระบบพอสมควร” 

ในมุมกลับกัน นี่เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจครอบครัวที่มีความพร้อมด้านเงินทุนในการซื้อกิจการ หรือหาพาร์ทเนอร์เพื่อเป็นพันธมิตร เพราะน่าจะได้ของดี ราคาไม่แพงและต้นทุนทางการเงินไม่สูงนัก เนื่องจากอยู่ในช่วงดอกเบี้ยขาลง

สำหรับ ความท้าทายอันดับที่ 1 ของธุรกิจครอบครัวในสายตาผู้นำรุ่นใหม่ในปีนี้ คือ การเข้ามาของดิจิทัลที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ (Digital disruption) ในอนาคต  จากรายงานผลสำรวจ NextGen Survey 2019 ระบุว่า การเปลี่ยนองค์กรไปสู่ดิจิทัล (Digitalisation) ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญภายใต้การบริหารของผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่ เพื่อพลิกโฉมให้กิจการสามารถก้าวทันกระแสการเปลี่ยนแปลง และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดย 83% ของผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่ระบุว่า การมีกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เหมาะสมกับยุคดิจิทัลเป็นสิ่งที่พวกเขาจะให้ความสำคัญมากที่สุด รองลงมาคือ การดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถ และการเสริมสร้างทักษะให้กับพนักงานที่ 62% เท่ากัน

นอกจากนี้ 79% ของผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่ของไทย ระบุว่า การเปลี่ยนองค์กรไปสู่ดิจิทัลจะช่วยให้พวกเขาสามารถ “สร้างมูลค่าเพิ่ม” ให้กับธุรกิจครอบครัว ช่วยให้กิจการบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งการเปลี่ยนผ่านองค์กรไปสู่ดิจิทัลไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับธุรกิจในยุคนี้ แต่วิธีการที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความความสำเร็จต่างหากคือ ความท้าทายใหม่ที่ธุรกิจครอบครัวของไทยหลายรายยังค้นหาหนทางไม่พบ

“ผู้บริหารรุ่นใหม่มีความต้องการที่จะเปลี่ยนผ่านองค์กรของตนไปสู่ดิจิทัลอย่างจริงจัง แต่ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแบบนี้ ธุรกิจครอบครัวต้องจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งหาสมดุลระหว่างการขยายการเติบโตของกิจการและจัดการกับความท้าทายเพื่อนำพาธุรกิจให้สามารถฝ่าวิกฤติต่าง ๆ ไปได้อย่างราบรื่นด้วย”

จากการสำรวจยังได้เปิดเผยถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ “การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน” ขององค์กรด้วยการยกระดับทักษะ (Upskilling) ให้ผู้นำรุ่นใหม่และพนักงาน โดย 83% เชื่อว่า การยกระดับทักษะจะช่วยให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจครอบครัวได้  สูงกว่าผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่ในเอเชียแปซิฟิก (62%) และทั่วโลก (61%)

แม้สภาพเศรษฐกิจแบบนี้ไม่เอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล แต่การนิ่งเฉย จะยิ่งส่งผลเสียหายเป็นมูลค่ามหาศาล  ซึ่งผลสำรวจพบว่า องค์กรที่เริ่มนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ จะสามารถบริหารจัดการเรื่องต้นทุนได้ดีกว่า  อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานได้มากขึ้นอีกด้วย

“ผู้นำรุ่นใหม่ และพนักงาน สามารถอัพสกิลตัวเองได้ผ่านการเรียนรู้จากเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น  หรือหลักสูตรการต่าง ๆ โดยในปัจจุบัน มีคอร์สทางด้านดิจิทัลออนไลน์ที่บางมหาวิทยาลัยเปิดสอนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย และอยากให้ผู้นำรุ่นใหม่และผู้นำธุรกิจตระหนักเสมอว่า แม้สถานการณ์เศรษฐกิจจะเลวร้ายแค่ไหน แต่เราไม่สามารถหยุดที่จะพัฒนาตัวเองและองค์กรได้ เพราะการยกระดับทักษะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเราทุกคนเพื่อให้อยู่รอดและแข่งขันได้ในโลกทำงานยุคดิจิทัล”  นายนิพันธ์ กล่าว