‘IO’ คืออะไร ทำไมรัฐต้องมีปฏิบัติการนี้?

‘IO’ คืออะไร ทำไมรัฐต้องมีปฏิบัติการนี้?

คำว่า “ไอโอ” กำลังเป็นที่สนใจในสังคม หลังส.ส.ฝ่ายค้านจากอดีตพรรคอนาคตใหม่ แฉข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการ ไอโอ ของกองทัพเพื่อคุกคามคนที่เห็นต่าง ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อกลางดึกวันอังคาร (25 ก.พ.) ที่ผ่านมา จนทำให้เกิดการถกเถียงทั้งในและนอกสภา

จริง ๆ แล้ว “ไอโอ” (IO) ย่อมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Information Operation หรือ “ปฏิบัติการข่าวสาร” ซึ่งในอดีตถูกนำมาใช้ชิงความได้เปรียบในการรบหรือการทำสงคราม

หลักการสำคัญของ “ไอโอ” คือการเผยแพร่ความคิดและความเชื่อของ “ฝ่ายเรา” ให้กลุ่มเป้าหมายได้รับทราบ และทำให้เกิดความคิดความเชื่อคล้อยตามความประสงค์ของ “ฝ่ายเรา” ขณะเดียวกันก็ต้องหาทางระงับยับยั้ง ขัดขวาง หรือทำลายศักยภาพด้านการ “ไอโอ” ของฝ่ายตรงข้าม หรือ “ฝ่ายศัตรู” เพื่อไม่ให้สามารถเผยแพร่ความคิดความเชื่อต่อกลุ่มบุคคลที่เป็นเป้าหมายของ “ฝ่ายเรา” ได้

นี่คือความหมายพื้นฐานแบบเข้าใจง่าย ๆ ที่ได้มาจากอดีตผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบหน่วยงานด้านการข่าวของเมืองไทย

ส่วนวิธีการเผยแพร่ความคิดความเชื่อที่สามารถส่งถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด แน่นอนว่าจำเป็นต้องพึ่งพาสื่อทุกชนิด ฉะนั้นในอดีต ฝ่ายที่ทำไอโอหนัก ๆ ได้จึงเป็น “ฝ่ายรัฐ” เพราะคุมสื่อแทบทุกชนิดอยู่ในมือ แต่ในยุคปัจจุบันมีโซเชียลมีเดีย หรือ “สื่อสังคมออนไลน์” ที่ทุกคนเป็นสื่อและผลิตสื่อได้ด้วยตนเอง ทำให้งาน “ไอโอ” ไม่ได้ผูกขาดอยู่ที่ภาครัฐอีกต่อไป ฉะนั้นหากใครมีขีดความสามารถ หรือ “ทักษะ” ในการใช้สื่อประเภทต่าง ๆ ได้มากกว่า ก็จะทำไอโอได้เหนือกว่าอีกฝ่าย

ที่สำคัญ ความเชี่ยวชาญการใช้ “สื่อใหม่” หรือ “นิวมีเดีย” ยังสามารถระงับหรือขัดขวางการ “ไอโอ” ของฝ่ายตรงข้ามได้ง่าย เช่น วิธี report หรือวิธีใช้คนจำนวนมากเข้าไปใช้เว็บ เพจเฟซบุ๊ก หรืออินสตาแกรมของฝ่ายตรงข้ามพร้อม ๆ กันจนเว็บหรือเพจล่ม หรือถ้าเป็นระดับมืออาชีพมากกว่านั้นอาจใช้การโจมตีด้วยไวรัสกันเลยทีเดียว

สถานการณ์ในปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการข่าว บอกว่า บางทีคนทั่วไปที่มีความรอบรู้ในเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นพิเศษ ก็อาจมีความสามารถในการทำ “ไอโอ” เหนือหน่วยงานรัฐบางหน่วยที่ยังมีบุคลากรด้านนี้น้อย หรือบุคลากรไม่พัฒนาตัวเองด้วยซ้ำ

การทำ “ไอโอ” ที่เห็นชัดๆ ในบ้านเราในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา ก็คือการทำสงครามข่าวสารในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งว่ากันว่าเป็นพื้นที่ที่ “ข่าวลือ” ทำงานสำเร็จมากที่สุดพื้นที่หนึ่งของประเทศ

วิธีการทำ “ไอโอ” ที่ใช้กันทั่วไป หลักสำคัญเริ่มจากการหา “จุดสนใจ” แล้วสร้าง “คีย์เวิร์ด” เพื่อสร้างชุดความคิดทำลายฝ่ายตรงข้าม เช่น โจมตีว่าอีกฝ่ายเป็นเผด็จการ แล้วยกตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย (ความจริงเป็นหรือเปล่า เป็นอีกเรื่อง) ซึ่งหาก “คีย์เวิร์ด” นี้เป็น “หัวใจ” หรือ “จุดอ่อน” หรือที่เรียกภาษาทหารว่า “จุดศูนย์ดุล” หรือ center of gravity ของฝ่ายตรงข้ามพอดี การทำไอโอก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพ โดยใช้ “คีย์เวิร์ด” เดิมเป็นตัวเดินเรื่องพัฒนาชุดความคิดไปเรื่อย ๆ

ฉะนั้นหากฝ่ายไหนครอบครองสื่อได้มากกว่า ก็ถือได้ว่ามีเครื่องมือมากกว่า และมีโอกาสสูงกว่าที่จะชนะในสงครามข่าวสาร

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ในทางทฤษฎีแล้วการทำ “ไอโอ” ที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาว ต้องใช้ “ความจริง” ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเท่านั้น เพราะหากใช้ “ความเท็จ” หรือการ “ป้ายสี” แม้จะทำให้ได้ชัยชนะในช่วงแรก ๆ แต่ก็จะเกิดปัญหาตามมา

คำถามที่น่าสนใจก็คือ หลักการนี้ยังใช้ได้จริงหรือไม่ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอย่างรวดเร็วอย่างในปัจจุบัน เพราะหลาย ๆ ครั้งเราก็เห็นอยู่ตำตาว่า การปล่อยข้อมูลเท็จ หรือ fake news เพียงครั้งเดียว อาจทำให้คู่ต่อสู้ชนะศึกไปได้เลย

ปีที่แล้ว มีบทความในต่างประเทศ ซึ่งมีคนแปลเป็นภาษาไทย ยกระดับ “ไอโอ” ในยุคโซเชียลว่าเป็นดั่งอาวุธประหัตประหาร โดยมีบิ๊กดาต้าเก็บรวบรวมข้อมูล และสามารถประมวลวิเคราะห์ข้อมูลทำให้ทราบถึงพฤติกรรม รสนิยม ความคิด ความสนใจ ความเชื่อของคนในสังคมนั้น ๆ ได้ ผู้ที่ทำ “ไอโอ” จึงสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาสร้างชุดความคิดเพื่อชี้นำได้ง่าย และสามารถสร้างกระแสให้เกิดความเชื่อในทิศทางเดียวกันของคนหมู่มากด้วยการใส่แฮชแท็ก หรือ # หากความคิดความเชื่อถูกท้าทาย ก็จะถูกแท็กทีมโจมตีกลับ หากผู้ใดอยู่ใต้บรรยากาศเช่นนี้นาน ๆ อาจจะถูกล้างสมองได้เหมือนกัน

นี่คือความน่ากลัวของ “ไอโอ” ที่สลับซับซ้อนขึ้นอีกหลายชั้นในโลกโซเชียลมีเดีย!

------------

หมายเหตุ: คอลัมน์ลงหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับ 12 มิ.ย. 2562