ไมลอทท์ฯ เทงบเฉียดพันล้าน ลุยผลิตเครื่องสำอางย้ายฐานจากจีน

“ไมลอทท์ฯ” เป็นที่รู้จักอย่างดี เพราะเป็น Top 5 ผู้ผลิตเครื่องสำอางระดับโลก สวมบทเป็นมือปืนรับจ้างผลิต (OEM) ให้ร่วม 200 แบรนด์ดังระดับโลกตั้งแต่แมส ไปจนถึงพรีเมี่ยม เช่น ลอรีอัล ยูนิลีเวอร์ คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ ชิเซโดฯ
ตลอด 30 ปี บริษัทมีการเติบโต 2 หลักต่อเนื่อง เมื่อฐานยอดขาย 6,000 ล้านบาท ใหญ่ขึ้นมาก การเติบโตจึงอยู่ที่ 1 หลัก แต่กระนั้นบริษัทยังมุ่งทะยานพายอดขายแตะ 10,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปีข้างหน้า
“ท่ามกลางวิกฤติ มีโอกาสเสมอ” รุ่งระวี กิตติสินชัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมลอทท์ แลบบอราทอรีส์ จำกัด ให้เหตุผลที่กล้าประกาศเป้ายอดขายหมื่นล้าน เนื่องจากสงครามทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ ทำให้แบรนด์เครื่องสำอางระดับโลก “โยกฐานผลิต” จากจีนมายังไทย
นอกจากนี้ แนวโน้มตลาดเครื่องสำอางที่ยังเป็น Sunrise business ยิ่งตลาดเอเชียการบริโภคขยายตัว เศรษฐกิจเติบโตดีกว่าเมื่อเทียบกับยุโรป สหรัฐ การปักหมุดสร้างฐานผลิตในไทย ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนการผลิต การขายที่ไม่ต้องส่งสินค้ามาไกล ทำให้บริษัทได้รับอานิสงค์จากสถานการณ์ดังกล่าวเต็ม ๆ โดยขณะนี้มีสินค้าหมวดสีสันหรือ Make up กว่า 10 แบรนด์ ป้อนออเดอร์ และคาดการณ์จะมีเพิ่มอีกหลักสิบแบรนด์เพื่อโยกฐานผลิตมายังไทย
“โกลบอลแบรนด์จากยุโรป มาหาฐานผลิตในเอเชีย เพื่อลดต้นทุน อีกทั้งสงครามการค้าสหรัฐ จีน ทำให้การย้ายฐานผลิตจากจีนมาไทยเพื่อได้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีอื่นๆ ที่สำคัญตลาดเครื่องสำอางเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เพราะปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคใช้สินค้าตั้งแต่อายุยังน้อย 10-11 ปี โฟมล้างหน้า แป้ง ลิปติก และเน็ตไอดอล ศิลปิน สตาร์ทอัพ ต้องการเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้า ขายผ่านช่องทางออนไลน์สามารถทำเงินเป็นหลักร้อย พันล้านบาท และผู้บริโภคที่ใช้เครื่องสำอางไม่จำกัดแค่ผู้หญิง แต่มีทุกเพศ จึงทำให้เค้กก้อนนี้ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ”
ทั้งนี้ บริษัทจึงเดินหน้าขยายการลงทุนปกติ (CAPEX) 300-400 ล้านบาท เพื่อบำรุงรักษาเครื่องจักร อัพเดทเทคโนโลยีการผลิต และรองรับกำลังการผลิตสินค้าที่เพิ่มขึ้น จากผลิตมากกว่า 400-500 ล้านชิ้นต่อปี รวมถึงวิจัยและพัฒนาสินค้า รับเทรนด์คนรุ่นใหม่ต้องการเป็นเจ้าของแบรนด์มากขึ้นหรือ OBM : Original Brand Manufacturer ซึ่งมาแรงมาก
ส่วนแผน 2 ปี (62-63)ได้ใช้เงินลงทุน 500 ล้านบาท เพื่อสร้างคลังสินค้าแห่งใหม่พื้นที่ 30,000 ตารางเมตร ติดกับโรงงาน ขณะที่คลังสินค้ากลาง 40 ไร่ จะเปลี่ยนเป็นฮับสำหรับการส่งออก
“ลูกค้าเรามีจำนวนมากขึ้น เทรดวอร์ วิกฤติจีน ทำให้ลูกค้ากลัวต้องโยกฐานผลิตมาไทย ส่วนเทรนด์ที่คนต้องการเป็นเจ้าของสินค้าสร้างแบรนด์มากขึ้น ทำให้ต้องลงทุนเพิ่ม สร้างคลังสินค้า รวมถึงการมุ่งผลิตสินค้า OBM มากขึ้น ซึ่งขั้นต่ำ 1,000 ชิ้น บริษัทก็รับจ้างผลิต น้อยกว่านี้จะไม่คุ้ม (Economy of scale) ถือเป็นการขยับจากรับจ้างผลิตหรือ OEM ที่มีสัดส่วนถึง 70% และรับจ้างออกแบบและผลิตสินค้าเพื่อขายแบรนด์ตนเองหรือ ODM”
นอกจากนี้ บริษัทยังขยายไลน์การรับจ้างผลิตสู่สินค้าเครื่องใช้ในครัวเรือน และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมา 2 ปี รองรับเทรนด์ผู้บริโภคที่รุกสุขภาพมากขึ้น จากปัจจุบันการผลิตสินค้าเครื่องสำอางครบทุกหมวดหมู่ดูแลตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า
ในฐานะผู้ผลิตเครื่องสำอางมากว่า 3 ทศวรรษ รุ่งระวี ยังย้ำว่า ความต้องการของลูกค้า และผู้บริโภคเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะ Speed เมื่อก่อนการวิจัยและพัฒนาสินค้าออกสู่ตลาดใช้เวลา 2 ปี แต่ปัจจุบันสั้นลงมากเหลือ 6 เดือน ลูกค้าบางรายต้องการภายใน 1 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคใช้สินค้าวงจรสั้นลง เปลี่ยนรุ่น สี เทรนด์เร็วมาก การทำงานของบริษัทจึงยึดความต้องการลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer centric)เพื่อตอบสนองการผลิตให้ตรงใจมากสุด
ปัจจุบันไมลอลทท์ มีพนักงาน 2,700 คน ในยุคดิจิทัล ได้มุ่งทรานส์ฟอร์เมชั่นองค์กร ยกระดับการเปลี่ยนความคิด(มายด์เซ็ท)ในการทำงานของพนักงาน เพิ่มทักษะ ประสานการทำงานกันมากขึ้น เพื่อรับการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม จากแผนดังกล่าวบริษัทคาดว่ายอดขายปี 2563 จะเติบโต 20-25%




