'สิงห์เอสเตท' รุกพลังงานหมุนเวียน เทรนด์โลก! บริหารเสี่ยงอสังหาฯ

'สิงห์เอสเตท' รุกพลังงานหมุนเวียน เทรนด์โลก! บริหารเสี่ยงอสังหาฯ

“สิงห์ เอสเตท” ไม่หวั่นยอดขายปี 62 พลาดเป้า 15% เดินหน้าแผน 5 ปีลงทุน 6.8 หมื่นล้าน 3 ขาธุรกิจหลัก ที่อยู่อาศัย สำนักงาน โรงแรม ตั้งเป้ารายได้ 3 หมื่นล้าน เกาะเทรนด์โลกแตกไลน์ลงทุนธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ ดันรายได้ประจำ

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ว่าตัวเลขรายได้ในปี 2562 ที่ตั้งไว้ 16,000 ล้านบาท จะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย 15% เฉพาะกลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัยลดลง 30% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2563-2567 โดยเตรียมงบลงทุน 68,000 ล้านบาท เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว ครอบคลุมการลงทุน ธุรกิจที่พักอาศัยจำนวน 30 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 37,500 ล้านบาท 

ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า 4 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 8,500 ล้านบาท และการลงทุนในธุรกิจโรงแรม มูลค่า 22,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยในการตัดสินใจลงทุน ได้แก่ สินทรัพย์ที่มีคุณภาพ อยู่ในทำเลที่ดี และมีศักยภาพในการเติบโต คาดว่า จะสามารถมีรายได้ 30,000ล้านบาทและมีมูลค่าสินทรัพย์รวม1แสนล้านบาทจากปีนี้ 6.7 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนแตกไลน์ธุรกิจใหม่ลงทุน 5,000-6,000 ล้านบาท ในการเริ่มต้นธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ในต่างประเทศปี 2563 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับสร้างรายได้ประจำและเป็นบาลานซ์พอร์ตรายได้ให้มีความแข็งแกร่ง สอดรับกับกระแสการดำเนินธุรกิจยั่งยืนและช่วยแก้ปัญหาโลกฉะนั้นธุรกิจพลังงานหมุนเวียนจึงตอบโจทย์ 

โดยจะดำเนินการผ่านพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในรูปแบบการร่วมทุน คิดว่า ภายในปี 2564 จะมีสัดส่วนรายได้ไม่เกิน 5-10% จากรายได้รวม ถือเป็นเส้นทางการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อยอดจากการเป็น โกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี

สำหรับธุรกิจที่พักอาศัยในปี 2563 บริษัทมีแผนจะเปิดตัว 6 โครงการใหม่มูลค่า 10,000 ล้านบาท พร้อมทั้งเปิดแบรนด์ใหม่ 5 แบรนด์ทั้งแนวสูงและแนวราบ เพื่อขยายตลาดจากเดิมที่มุ่งจับเฉพาะเซกเมนท์ระดับบน ให้ครอบคลุมถึงเซกเมนท์ระดับกลางถึงบนที่มีการเติบโตดี

“ธุรกิจพัฒนาที่พักอาศัย ถือได้ว่าเรายังอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราได้ลงทุนไปก่อนหน้านี้ โดยปัจจุบันมี Backlog (ยอดขายรอรับรู้รายได้) ที่จะโอนในปี 2563 มากกว่า 6,000 ล้านบาท และเรายังวางแผนเปิดโครงการใหม่ 6 โครงการ โดยตั้งเป้าขายรวมกว่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งมีบางส่วนที่ขายและโอนได้เลยในปีนี้ ก็จะเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจที่พักอาศัยในปีนี้” นายนริศ กล่าว

ส่วนธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า ปี 2563 มีอาคารสำนักงาน 3 แห่ง ได้แก่ อาคารซันทาวเวอร์ส อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ และอาคารเมโทรโพลิส ซึ่งทุกอาคารมีอัตราการเช่าสูงกว่า 90% ภายใน 5 ปี บริษัทตั้งเป้าจะมีพื้นที่อาคารเชิงพาณิชย์ 300,000 ตารางเมตร จากปัจจุบันที่มี 140,000 ตารางเมตร โดยเตรียมงบลงทุน 8,500 ล้านบาท สำหรับซื้อเพิ่มอีก 4 โครงการ รวมถึงพัฒนาโครงการเอส โอเอซิส ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานแห่งใหม่ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2564

สำหรับธุรกิจโรงแรมตามแผนธุรกิจ ในปี 2567 ตั้งเป้าเติบโต 15% ต่อปี โดยเพิ่มจำนวนโรงแรมจาก 39 แห่งเป็น 80 แห่ง ภายใต้บริษัทเอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR นอกจากนี้ยังได้เตรียมงบลงทุน 5 ปี กว่า 22,000 ล้านบาท เพื่อซื้อโรงแรมและรีสอร์ทเพิ่มเติมโดยยังคงเน้นการลงทุนในพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยม เช่น เอเชียแปซิฟิก และเมดิเตอร์เรเนียน เป็นต้นเพื่อสร้างการเติบโตในระดับสากลได้อย่างรวดเร็ว

“ในปี 2563 โครงการจะรับรู้รายได้เต็มปี โดยตั้งเป้ารายได้โครงการมากกว่า 2,000 ล้านบาทมาจาก โรงแรมฮาร์ด ร็อค โฮเทล มัลดีฟส์ และ โรงแรมทรายลากูน มัลดีฟส์ คูริโอ คอลเล็กชั่น บาย ฮิลตัน คาดว่า ปีนี้รายได้ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารสำนักงาน 1,000 ล้านบาท โรงแรม6,000-7,000ล้านบาท ที่อยู่อาศัย 9,000-12,000 ล้านบาท ”

นอกจากนี้ ปี 2563 ยังเป็นปีที่ สิงห์ เอสเตท มุ่งสร้างแบรนด์ในทุกมิติเพื่อให้เป็นแบรนด์ในระดับพรีเมียมและน่าเชื่อถือ ภายใต้แคมเปญ “Singha Estate Enriching Life สร้างคุณค่าให้ชีวิต” ตั้งแต่การพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพแบบ Best in Class และการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ รวมทั้งการเป็นบริษัทที่เป็นตัวอย่างของนักพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นปรัชญาในการดำเนินธุรกิจที่ได้รับมาจากบริษัทแม่ คือ กลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่

นายนริศ ยอมรับว่า กังวล 2 ปัจจัยลบจากไวรัสโคโรนา และการเมืองภายในกระทบธุรกิจสะดุด แต่ส่วนของบริษัทได้รับผลกระทบน้อย เพราะในแง่ทำเลของโรงแรมไม่ได้เป็นสถานที่ที่นิยมของนักท่องเที่ยวจีน โดยสถานที่ตั้งหลักจะอยู่ในไทย อังกฤษ ฟิจิ มัลดีฟส์ และมอริเชียส