'ปศุสัตว์' ทุ่ม 160 ล้านรับมือเสรีโค

'ปศุสัตว์' ทุ่ม 160 ล้านรับมือเสรีโค

ผนึกกรมปศุสัตว์ พัฒนาศักยภาพและอุตสาหกรรมโคเนื้อไทย หลังมาตรการ SSG ภายใต้ความตกลง TAFTA จะสิ้นสุดในวันที่ 1 ม. ค.2564 คาดว่าเนื้อโคทะลักแน่

นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ (กองทุนเอฟทีเอ) ว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนเอฟทีได้อนุมัติงบประมาณ จำนวน 161.79 ล้านบาท ให้กรมปศุสัตว์เป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานโครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตและการตลาดโคเนื้อรองรับข้อตกลงการค้าเสรี หรือเอฟทีเอเพื่อยกระดับมาตรฐานและประสิทธิภาพการผลิตโคเนื้อ ตั้งแต่การผลิตโคต้นน้ำจนถึงการตลาดเนื้อคุณภาพสำหรับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ

การอนุมัติเงินกองทุนครั้งนี้ สศก.เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเตรียมการรองรับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าไทย-ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งจะสิ้นสุดมาตรการ SSG ภายใต้ความตกลง TAFTA ในวันที่ 1 ม.ค.2564 และคาดว่าจะมีการนำเข้าโคมีชีวิต เนื้อโคแช่แข็ง และเครื่องในโคแช่แข็งจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์มากขึ้น อันเป็นผลมาจากที่ราคาถูกกว่าเนื้อโคในประเทศไทย และจะส่งผลกระทบโดยตรงกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ ซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่สูง ประกอบกับราคาจำหน่ายโคเนื้อที่ไม่แน่นอน

ดำเนินการตามแนวทางยุทธศาสตร์ 3 ด้าน ได้แก่ การรักษาตลาดการบริโภคเนื้อโคไทย กระตุ้นการเพิ่มประชากรโคเนื้อและเนื้อโค และการบริหารจัดการพืชอาหาร และอาหารสัตว์สำหรับโคเนื้อ

157865459052

ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์จะเป็นผู้ขับเคลื่อนโครงการร่วมกับเครือข่ายโคเนื้อไทย และร่วมมือภาคเอกชนคือบริษัทพรีเมียมบีฟ จำกัด ในการพัฒนาระบบการซื้อขายโคให้มีมาตรฐาน เพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาที่เป็นธรรม มีตลาดรองรับที่แน่นอนและมีการประกันราคารับซื้อไม่ต่ำกว่าท้องตลาด 

นอกจากนี้ ยังมีการบริหารระบบโลจิสติกส์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายการผลิตตลอดห่วงโซ่ สามารถผลิตโคขุนคุณภาพดีรองรับความต้องการของตลาด 250 ตัวต่อเดือน หรือ 3,000 ตัวต่อปี มี Central Feedlot ที่ได้รับมาตรฐาน GAP FMD Free ซึ่งสามารถใช้เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ (Learning Center) สำหรับเกษตรกรได้เข้ามาศึกษาและต่อยอดการพัฒนาอุตสาหกรรมโคเนื้อไทยให้เข้มแข็ง ซึ่งคาดว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถทดแทนการนำเข้าสินค้าโคได้อย่างน้อย 150 ล้านบาทต่อปี