10 ปีผ่านไป อะไรเปลี่ยนบ้างที่ ‘แมนฯ ยูไนเต็ด’
![10 ปีผ่านไป อะไรเปลี่ยนบ้างที่ ‘แมนฯ ยูไนเต็ด’](https://image.bangkokbiznews.com/image/kt/media/image/news/2019/12/23/859408/750x422_859408_1577338357.jpg?x-image-process=style/LG)
ระยะเวลา 10 ปี สำหรับบางคนถือเป็นการเดินทางที่ยาวนานพอตัว และกลายเป็นช่วงเวลาของการปรับเปลี่ยน ลองผิดลองถูก ภายหลังจากที่ 10 ปีที่ผ่านมา ไม่สดใสเท่ากับ 10 ปีก่อนหน้า เช่นเดียวกับ "อดีต" สโมสรยิ่งใหญ่แห่งอังกฤษอย่าง "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นสโมสรฟุตบอลที่คนไทยรู้จักกันดี และเป็นทีมที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุดถึง 13 สมัย แต่ภายหลังจากหมดยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เมื่อสิ้นฤดูกาล 2012-2013 พวกเขาก็ประสบปัญหา ทั้งจากฟอร์มการเล่นในสนาม ศรัทธาของแฟนบอล ธุรกิจซื้อขายนักเตะที่ผิดพลาด รวมไปถึงการเปลี่ยนผู้จัดการทีม 5 คนไล่ตั้งแต่ เดวิด มอยส์, ไรอัน กิ๊กส์ (รักษาการแทนมอยส์ในปลายฤดูกาลเดียวกัน), หลุยส์ ฟาน กัล, โชเซ มูรินโญ และโอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ในระยะเวลา 6 ปีเท่านั้น
หลังจากบรมกุนซือเลือดสก็อต จากไปแมนฯ ยูไนเต็ดก็ทำผลงานได้ดีที่สุดเพียงแค่อันดับ 2 ในการแข่งขันพรีเมียร์ลีกเมื่อปี 2016-2017 ในยุคของมูรินโญ และก็มีแต้มตามหลังทีมอริร่วมเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี ถึง 19 แต้ม (แมนฯ ซิตี คะแนนรวม 100 คะแนน)
ส่วนฤดูกาลที่แล้ว (2018/19) ฟอร์มการเล่นของพลพรรคปิศาจแดงก็ออกทะเลไปไกลกว่าเดิม เพราะจบฤดูกาลที่อันดับที่ 6 แข่ง 38 นัด มี 66 แต้ม ห่างจากแมนเชสเตอร์ ซิตี ซึ่งเคยอยู่ใต้ร่มเงาความสำเร็จของแมนฯ ยูไนเต็ดมาตลอดในยุคเซอร์เฟอร์กี้ ถึง 32 แต้ม
ไม่ต้องพูดถึงฤดูกาลนี้ ภายใต้การคุมทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ตำนานนักเตะของสโมสรที่ผันตัวมาเป็นกุนซือจอมคิดบวกและรับไม้ต่อจากมูรินโญตั้งแต่กลางซีซั่นที่แล้ว จนถึงขณะนี้ผ่านไปเกือบครึ่งฤดูกาล ทีมอยู่อันดับ 8 ด้วยฟอร์มการเล่นที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ และที่สำคัญ โซลชาร์เหมือนยังหาทรงบอลที่แท้จริงไม่เจอ!
นอกจากเรื่องผลการแข่งขัน การซื้อ-ขายนักเตะในช่วงหลัง ๆ ก็ดูน่าผิดหวัง พวกเขาถูกวิจารณ์ว่าซื้อนักเตะบางคนในราคาแพงเกินจริงโดยที่ทีมได้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า
อาทิ การซื้อ ปอล ป็อกบา ราคา 89 ล้านปอนด์, โรเมลู ลูกากู 75 ล้านปอนด์, อังเคล ดิ มาเรีย 59 ล้านปอนด์, เฟร็ด 52 ล้านปอนด์ นี่ยังไม่ควมถึงดีลอื่น ๆ ที่แสดงว่าการทำธุรกิจเรื่องตัวผู้เล่นของแมนฯ ยูไนเต็ด พังไม่เป็นท่า
เช่น กรณีของมัตเตโอ ดาร์เมียน แบ็คชาวอิตาลี ที่เพิ่งขายให้กับปาร์มาในราคาเพียง 1.4 ล้านปอนด์ ทั้ง ๆ ที่ซื้อมาจากโตริโนด้วยราคา 12.7 ล้านปอนด์ หรือกรณีของอเล็กซิส ซานเชซ ที่แมนฯ ยูไนเต็ดฯ คว้าตัวมาด้วยเงื่อนไขค่าเหนื่อยถึง 500,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ในซีซั่นก่อน แต่ลงเล่นแค่เพียง 36 เกม และทำได้เพียง 5 ประตู
ส่วนฤดูกาลปัจจุบันพวกเขาทุ่ม 74 ล้านปอนด์เพื่อซื้อผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามา 3 ราย แต่กลับขายออกได้เงินกลับมาเพียง 28 ล้านปอนด์
ถึงตรงนี้ ถ้าถามว่าอะไรพอจะเป็นสิ่งที่แมนฯ ยูไนเต็ดยังคงรักษามาตรฐานในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา กับรอบ 10 ปีก่อนหน้า เห็นทีคงหนีไม่พ้นกับการเป็นแบรนด์สโมสรที่มีมูลค่าอันดับต้น ๆ ของโลก โดยเว็บไซต์ของสโมสรระบุว่า ในปี 2019 แมนฯ ยูไนเต็ด ทำรายได้รวมทั้งสิ้น 627 ล้านปอนด์ หรือราว 25,000 ล้านบาท
แบ่งเป็นสัดส่วนจาก MATCH DAY (ค่าเข้าชม) 18% ค่าสปอนเซอร์โฆษณา 44% ค่าถ่ายทอดสด 38% เพิ่มขึ้นจากปี 2009 ซึ่งมีรายได้รวม 279 ล้านปอนด์หรือเกือบ 11,000 ล้านบาท จาก MATCH DAY 41% ค่าสปอนเซอร์โฆษณา 24% ค่าถ่ายทอดสด 35%
ในปัจจุบัน แมนฯ ยูไนเต็ด เปลี่ยนโครงสร้างรายได้หลัก มาจากฝั่ง Commercial หรือธุรกิจพาณิชย์ที่รวมตั้งแต่การขายสปอนเซอร์ให้กับแบรนด์สินค้า, การจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์ต่างๆ และการขาย Digital Content ต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมา สโมสรก็สร้างยอดผู้ติดตามในโลกออนไลน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นยอดผู้ติดตามในเฟซบุ๊ค ซึ่งมีอยู่จำนวน 73.3 ล้านคน ทวิตเตอร์มากกว่า 23.1 ล้านคน อินสตาแกรมกว่า 31.9 ล้านคน ไลน์อยู่ที่ 15.6 ล้านคน เว่ยโป๋ของจีน กว่า 9.4 ล้านคน และยูทูบอีกกว่า 2 ล้านคน
ดูเหมือนว่า ผลงานในสนามไม่ได้ส่งผลถึงรายได้ แต่เอาเข้าจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อไม่นานมานี้ นิตยสารฟอร์บสเพิ่งเผยแพร่ผลจัดอันดับสโมสรกีฬาที่มีมูลค่าแบรนด์มากที่สุดในโลก ปรากฏว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อันดับร่วงจากที่ 2 ไปที่ 6 โดยถูกสำรวจว่ามีมูลค่าการตลาดในปี 2019 ที่ 3,810 ล้านดอลลาร์ มูลค่าลดลงจากปีก่อนที่ประเมินได้ 4,120 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 8% ขณะที่สโมสรเรอัล มาดริด ทีมอันดับ 3 ของลีกสเปนปี 2019 เป็นสโมสรที่มีมูลค่าการตลาดมากที่สุดในโลกด้วยมูลค่า 4,210 ล้านดอลลาร์
ผลประกอบการข้างต้น เป็นเพียงจิ๊กซอว์หนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงความเหมือนและความแตกต่างของแมนฯ ยูไนเต็ดในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา หากองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญ จนทำให้แบรนด์แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีมูลค่าลดลงเกือบ 10% ย่อมมาจากผลงานการแข่งขันที่ย่ำแย่ โดยมีสไตล์การเล่นที่ขาดความต่อเนื่อง เมื่อเจอทีมใหญ่ท็อป 6 ของลีก ขุนพลแมนฯ ยูไนเต็ดจะเล่นเก่งผิดหูผิดตาและเก็บแต้มได้แทบทุกนัด แต่เมื่อเจอทีมชื่อชั้นเป็นรองกว่า ก็พร้อมสะดุดหรือแพ้ให้อย่างง่าย ๆ
นอกจากนี้ หากทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับ 8 อย่างในปัจจุบัน หมายความว่า พวกเขาจะพลาดตั๋วไปเล่นยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก (ยูซีแอล) ในฤดูกาลหน้าอีกหน (เช่นเดียวกับฤดูกาลนี้) ทั้งคุณภาพของทีม ความสุข และศรัทธาของแฟนบอลที่มีต่อทีมยิ่งน้อยลงไปเรื่อย ๆ
ที่สำคัญ เมื่อแมนฯ ยูไนเต็ดเผชิญกับวิกฤติศรัทธา รายได้จากแฟนบอลที่ซื้อตั๋วเข้าชมและสินค้าสโมสรอาจจะลดลงไปด้วย อีกทั้งสปอนเซอร์ทั้งหลายก็อาจจะมองว่าชื่อ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” คงขายได้ยากและไม่น่าดึงดูดมากพอในทางการตลาด ในไม่ช้า เม็ดเงินที่เคยหลั่งไหลเข้าสโมสรอย่างมหาศาลก็อาจอันตรธานเข้ากลีบเมฆไปพร้อมชื่อเสียงและประวัติศาสตร์ของสโมสรก็เป็นได้