'ความฉลาดทางดิจิทัล' ทักษะเด่นยุค 4.0
เทคโนโลยีกำลังปรับโฉมโลก ซึ่งคนรุ่นใหม่ต้องมีทักษะความรู้ใหม่อย่างไรให้สอดรับกับธุรกิจและเรียนรู้เท่าทันโลกดิจิทัล ไม่ตกขบวน หรือถูกดิสรัป ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่4
วินเซนต์ คัวฮ์ ผู้บริหารฝ่ายการศึกษาและหน่วยงานด้านการวิจัยธุรกิจและสาธารณสุขของเอดับบลิวเอส ให้สัมภาษณ์กรุงเทพธุรกิจว่า คนรุ่นใหม่ต้องมีทักษะพิเศษที่ตอบโจทย์การทำงานในอนาคต ในเรื่องความฉลาดทางดิจิทัล (Digital Quotient : DQ ) ซึ่งถ้าพิจารณาจากอุตสาหกรรม 4.0 จะพบว่า ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ต ปัญหาประดิษฐ์ (เอไอ) หุ่นยนต์ เทคโนโลยีอัจฉริยะ อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง (ไอโอที) ธุรกิจเพื่อสุขภาพดูแลผู้สูงอายุ และการบริการโรงแรม จะเห็นถึงแนวโน้มเติบโตสูงและต้องการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลนำมาประยุกต์ใช้กับสภาพสังคมในอนาคต
"หากต้องการประสบความสำเร็จในหลายๆด้านในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 คนรุ่นใหม่ต้องเตรียมทักษะทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสามารถคิดค้นแพลตฟอร์มที่ช่วยตอบโจทย์ความต้องการในธุรกิจ 4.0 " วินเซนต์ระบุ
แน่นอนว่า ความรู้และทักษะทางเทคโนโลยีและการรู้จักใช้นวัตกรรมจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจในยุคนี้ และจะดีแค่ไหน ถ้าคุณมีแพลตฟอร์มที่สามารถเข้าถึงบริการได้มากกว่า 175 ประเภท เช่นเดียวกับเอดับบลิวเอส ที่มีเทคโนโลยีคลาวด์เป็นเครื่องมือจัดการกับบิ๊กดาต้า เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้การใช้ชีวิตดูง่ายขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีจะช่วยปรับขยายบริการและร่นระยะเวลาให้ตรงตามความต้องการได้ตลอด ดั่งเช่นในปัจจุบันที่เทคโนโลยีคลาวด์มีบทบาทขับเคลื่อนและเชื่อมโยงสร้างเมืองอัจฉริยะ
สำหรับทักษะที่จำเป็นของการทำงานในอนาคต ประกอบด้วย 1.Creative Conception ความสามารถก้าวข้ามกรอบความคิด เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่หลากหลายและแปลกใหม่ 2.Logical Investigation ความสามารถใช้เหตุผลวิเคราะห์เพื่อประเมินผล 3.Wicked Problem Self-Efficacy ความสามารถเพื่อตรวจสอบและเลือกใช้ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ที่หลากหลายเพื่อแก้ไขปัญหาซับซ้อนที่เกิดขึ้น
4.Connectedness ความสามารถเชื่อมต่อกับผู้อื่นและตอบสนองอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์และอยู่ร่วมกัน 5.Virtual Collaboration ความสามารถประสานงานและทำงานอย่างมีประสิทธิผลผ่านช่องทางต่างๆ โดยไม่มีขีดจำกัดพื้นที่และเวลา และ 6.Life-Long Learning Experimentation ความสามารถเรียนรู้ พัฒนาตนเองด้วยความสมัครใจ
ในมุมมองของเอดับบลิวเอส ต้องการสนับสนุนคนบุคใหม่ เพราะพวกเขาคือผู้ใช้ในอนาคต (Future User) ซึ่งต้องมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และวางแผนพัฒนาสังคมสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น เอดับบลิวเอส ต้องการจุดประกายและสนับสนุนให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ ได้เรียนรู้เทคโนโลยีคลาวด์ เพื่อเตรียมตัวพวกเขาสำหรับอนาคต โดยเรียกพวกเขาว่า เป็นผู้นำแห่งอนาคตของประเทศ
"หัวใจสำคัญคือ สร้างกลไกการเรียนรู้ ซึ่งเอดับบลิวเอสมุ่งสร้างแรงบันดาลใจ สนับสนุนให้พวกเขาได้ออกแบบความคิด ส่งเสียงและแบ่งปันไอเดียปูทางพัฒนาไปสู่สังคมยุคใหม่" วินเซนต์ย้ำ
ที่ผ่านมา เอดับบลิวเอส ได้จัดฝึกอบรมเทคโนโลยีคลาวด์ เพื่อช่วยคนรุ่นใหม่ได้พัฒนาไอเดียในอุตสาหกรรมคลาวด์ เหมือนกับเอดับบลิวเอสได้พัฒนาระบบคลาวด์มากกว่า 14 ปีที่ถูกนำมาใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ สร้างสรรค์นวัตกรรม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และทำประโยชน์ให้กับประชาชน ยกตัวอย่าง แอร์บีแอนด์บี (Airbnb) หรือ เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ซึ่งบริการเหล่านี้ได้เปลี่ยนโฉมธุรกิจจองที่พักโรงแรม และอุตสาหกรรมความบันเทิง โดยเริ่มต้นจากแนวคิดของเทคโนโลยีคลาวด์คือ แพลตฟอร์มที่ขยายไปสู่บริการใหม่ๆ ตอบสนองความต้องการที่ไม่รู้จบ
ปัจจุบัน เอดับบลิวเอส เป็นพันธมิตรกับทั้งหน่วยงานรัฐ มหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษารวมกว่า 30,000 แห่งทั่วโลก ซึ่งเอดับบลิวเอส ไม่ได้มองแค่การทำธุรกิจ แต่ต้องการให้ผู้ใช้คลาวด์ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการ เพราะต้องการให้ทุกคนมีส่วนร่วมสร้างเศรษฐกิจของระบบคลาวด์ที่เฟื่องฟูและเติบโตไปพร้อมสังคมที่อาศัย
เอดับบลิวเอส เริ่มทำโครงการที่เรียกว่า EdStart เป็นการสนับสนุนการเติบโตขององค์กรสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (EdTech) ซึ่งได้รับการออกแบบมา เพื่อมอบทรัพยากรที่จำเป็นให้กับ EdTech แก่สตาร์ทอัพ ในการช่วยให้พวกเขาสามารถเริ่มต้นใช้เทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายบนเอดับบลิวเอส รวมไปถึงยังเป็นโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการสร้างโซลูชันบนคลาวด์ของเอดับบลิวเอส
ส่วนการฝึกอบรมได้ปรับรูปแบบให้ตรงตามความต้องการเฉพาะบุคคลรวมไปถึงโอกาสทางการตลาด การให้การดูแลและคำปรึกษาและการสนับสนุนในเชิงเทคนิคเพื่อช่วยให้องค์กรสตาร์ทอัพสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว ทั้งการสร้างและขยายธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมๆกับสังคมที่เราอยู่ ในลักษณะสร้างสัมพันธภาพระหว่างผู้ใช้กับเอดับบลิวเอส สู่การเป็น “ชุมชนคลาวด์" มองหาวิธีเพื่อแก้ปัญหาความซับซ้อนทางการศึกษาทั่วโลก
สำหรับประเทศไทย เอดับบลิวเอสได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาดำเนินโครงการ EdStart อาทิ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ม.รังสิต ม.ธรรมศาสตร์ และ ม.เกษตรศาสตร์ นอกจากนี้ ยังดำเนินโครงการเดียวกันในมหาวิทยาลัยชื่อดังทั้งในสหรัฐ ยุโรป ตะวันออกกลาง อาฟริกา และเอเชีย รวมกว่า 2,400 แห่งทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม เราไม่อาจคาดการณ์ได้ในอนาคตว่า จะมีบริษัทเทคโนโลยีต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในไทย แต่เชื่อว่า การสร้างความพร้อมให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ถือเป็นการสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจ ซึ่งพวกเขาสามารถพัฒนาเป็นสตาร์ทอัพ และก้าวไปสู่ระดับยูนิคอร์น หรือบริษัทที่มีมูลค่ารวม 1 พันล้านดอลลาร์ในอนาคตข้างหน้า
