“โอแลม”พึ่งเวียดนามฐานส่งออกพริกไทยไปจีน

“โอแลม”พึ่งเวียดนามฐานส่งออกพริกไทยไปจีน

โอแลมพึ่งเวียดนามฐานส่งออกพริกไทยไปจีน ขณะรัฐบาลเวียดนาม ตั้งเป้าเมื่อเดือนมกราคมว่า ในปี 2562 จะเพิ่มการส่งออกสินค้าเกษตรกว่า 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์

ในช่วงที่ยังไม่รู้ว่าผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะออกมาอย่างไร บรรดาบริษัทข้ามชาติต่างหาทางรับมือผลกระทบด้านภาษีด้วยการยึดเวียดนามเป็นฐานการส่งออกไปยัง2ประเทศคู่สงคราม เพื่อบรรเทาผลกระทบทางธุรกิจ ไม่เว้นแม้กระทั่งโอแลม อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งค้าสินค้าเกษตรสัญชาติสิงคโปร์ ยึดเวียดนามเป็นศูนย์กลางการส่งออกสินค้าคือพริกไทยไปยังจีน ด้วยความหวังว่าบริษัทจะรอดพ้นจากการตอบโต้กันไปมาของสหรัฐและจีนด้วยมาตรการภาษี

โอแลม มีแหล่งปลูกพริกไทยขนาดใหญ่ประมาณสนามเบสบอล150 สนามรวมกันอยู่ในภาคกลางของเวียดนาม โดยบริษัทซื้อที่ดินผืนนี้มาเมื่อปี 2559 เพื่อปลูกพริกไทยหลากหลายพันธุ์ที่ต้านทานสภาพอากาศที่ร้อนระอุ ความชื้น แมลง และเชื้อโรคได้ดี โดยบริษัทจัดตั้งระบบตรวจสอบระดับน้ำอัตโนมัติที่จะใช้กับต้นพริกไทยที่ปลูก

บริษัทชั้นนำของสิงคโปร์ มีแผนที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตครั้งแรกในปีหน้า พร้อมทั้งตั้งเป้าผลิตพริกไทยให้ได้ปีละ 2,000 ตันไปจนถึงปี 2567และเมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว ก็ขนส่งพริกไทยไปเข้าสู่กระบวนการผลิตทางด้านอุตสาหกรรมยังโรงงานที่จังหวัดด่งไน ซึ่งอยู่ทางใต้ของประเทศก่อนจะส่งออกไปขายยังประเทศต่างๆทั่วโลก

ปัจจุบัน เวียดนามสามารถผลิตพริกไทยได้ในสัดส่วนประมาณ 40% ของผลผลิตพริกไทยทั่วโลก และขายพริกไทยในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โลกในสัดส่วนประมาณ 60% ด้วยความที่สภาพอากาศของเวียดนามเอื้ออำนวยและดินอุดมสมบูรณ์ จึงเหมาะกับการปลูกพริกไทย และรัฐบาลเวียดนามให้การสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกพริกไทยในฐานะเป็นกลยุทธด้านการส่งออก

โอแลม เริ่มขายพริกไทยในเวียดนามตั้งแต่ปี 2547 จากนั้นขยายไปยังการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อในปี 2551 และอีกสองปีต่อมาเริ่มผลิตพริกไทยบด อีกทั้งภายในเดือนพฤษภาคมปีหน้า โอแลม จะเริ่มผลิตพริกไทยเพื่ออุตสาหกรรมอย่างเต็มรูปแบบและจะเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้สองเท่า หลังจากบริษัทมั่นใจว่าจะมีวัตถุดิบในปริมาณที่มากพอ หากลงมือปลูกพริกไทยเอง

ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม ระบุว่า ผลประกอบการการส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญของเวียดนาม อาทิ ข้าว เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และพริกไทย ปรับตัวลดลงในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 แม้จะมีปริมาณเพิ่มขึ้น โดยช่วงเดือนมกราคม-กันยายน เวียดนามมีรายได้เกือบ 2.4 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 7.27 หมื่นล้านบาท) จากการส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์จำนวน 326,000 ตัน ลดลง6% ในแง่ของมูลค่า แต่เพิ่มขึ้น 20.2% เมื่อเทียบปีต่อปี

กระทรวงฯ ระบุว่า สหรัฐ จีน และเนเธอร์แลนด์ เป็นตลาดส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์รายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม โดยยอดส่งออกไปจีนขยายตัว 35.4% ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2562

นอกจากนี้ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา เวียดนามยังทำกำไรได้กว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 6.66 หมื่นล้านบาท) จากการส่งออกข้าวมากกว่า 5.1 ล้านตัน ลดลง 9.7% ในแง่มูลค่า แต่เพิ่มขึ้น 4.5% ในแง่ปริมาณ

กระทรวงฯ ระบุเพิ่มเติมว่า ยอดส่งออกพริกไทยลดลง 6.4% เมื่อเทียบปีต่อปี คิดเป็นเงิน 593 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.79 หมื่นล้านบาท) แม้ปริมาณการส่งออกจะปรับตัวสูงขึ้น 21.1%

รัฐบาลเวียดนาม ตั้งเป้าเมื่อเดือนมกราคมว่า ในปี 2562 จะเพิ่มการส่งออกสินค้าเกษตรกว่า 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นจาก 4 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.21 ล้านล้านบาท) เมื่อปี 2561 โดยปัจจุบันเวียดนามพยายามผลักดันตัวเองให้กลายเป็น 1 ใน 15 ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรชั้นนำของโลกให้ได้ภายในระยะ 10 ปีข้างหน้า

โอแลม ซึ่งดำเนินธุรกิจใน 67 ประเทศทั่วโลก เลือกเวียดนามเป็นที่ตั้งศูนย์ดำเนินงานใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เนื่องจากเห็นว่าประชากรวัยทำงานของเวียดนามมีการศึกษาสูง เมื่อว่าจ้างแรงงานชาวเวียดนามแล้ว บริษัทสามารถพัฒนาขีดความสามารถด้านเทคนิคแก่แรงงานเหล่านี้ได้ง่าย จึงทำให้บริษัทมีความมั่นใจที่จะเพิ่มกำลังการผลิตในอนาคต

หน่วยงานด้านการวิจัยของโอแลมเผยว่า ในแต่ละปีที่ผ่านมา เวียดนาม สามารถผลิตพริกไทยได้ 3.5-5 ตันต่อพื้นที่ 1 เฮคแตร์หรือประมาณ 6.25 ไร่ มากกว่าความสามารถในการผลิตพริกไทยในอินเดียและอินโดนีเซียซึ่งผลผลิตต่อปีอยู่ระหว่าง 0.5และ1.5 ตันต่อ1เฮคแตร์ ส่วนผลผลิตกาแฟและสินค้าเกษตรประเภทอื่นๆในเวียดนามก็สูงกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคเดียวกัน

ที่สำคัญ การที่เวียดนามเป็นหนึ่งในสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน)จึงทำให้สินค้าเกษตรเกือบทุกประเภทที่ปลูกในเวียดนามเมื่อส่งออกไปขายยังประเทศสมาชิกอาเซียนจึงปลอดภาษี และข้อดีนี้เองที่ดึงดูดบริษัทผลิตสินค้าประเภทนมและอาหารชั้นนำของโลกสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์อย่างเนสท์เล่ เริ่มเข้ามาผลิตกาแฟสำเร็จรูปในเวียดนามเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว