'ดูเดย์ดรีม’หั่นเป้ารายได้ปีนี้โต10%

'ดูเดย์ดรีม’หั่นเป้ารายได้ปีนี้โต10%

'ดู เดย์ ดรีม"คาดรายได้ไตรมาส 2 ร่วงต่อ หั่นเป้ารายได้ปีนี้เติบโตเพียง10 % จากเป้าเดิม15 % รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนชะลอตัว และตลาดค้าส่งดอนเมืองปิดบริการ อีกทั้งยังมีผลกระทบจากมาตรฐานบัญชีใหม่ แย้มอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการ 2-3 ราย คาดสรุปป

นายปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด(มหาชน) หรือ DDD เปิดเผยว่า แนวโน้มรายได้ไตรมาส2 ปี2562 คาดว่าจะปรับตัวลดลงลงจากช่วงดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้ 379 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบนักท่องเที่ยวจีนยังชะลอตัว และตลาดค้าส่งดอนเมืองยังปิดอยู่ แต่เชื่อว่ารายได้จะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงไตรมาส1 เพราะรับรู้รายได้จากสินค้าใหม่ที่เพิ่งออกไป จำนวน 2 ราย (SKU) และทยอยออกเรื่อยอีก 6 ผลิตภัณฑ์ใน 4 แบรนด์สินค้าของบริษัท ทำให้ผลประกอบการปีนี้ของบริษัทเติบโตจากปีก่อน

" ส่วนตัวเชื่อว่าธุรกิจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 จากนี้จะค่อยๆฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งบริษัทมีแผนออกสินค้าใหม่เพิ่มใน 4 แบรนด์ของบริษัท และเพิ่มตัวแทนจำน่ายสินค้า รวมถึงการมาหันผลิตสินค้าจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อมากขึ้น เพราะมีการเติบโตที่ดี" นายปิยวัชร กล่าว

นางสาวชนกนันท์ เทียมรัตน์ นักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ดู เดย์ ดรีม กล่าวว่า คาดว่ารายได้ทั้งปีของปี 2562 เติบโต 10 % จากเดิมที่คาดว่าจะโต 15 % จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,249 ล้านบาท เพราะได้รับผลกระทบจากมาตรฐานบัญชีใหม่ (TFRS15)ที่เริ่มใช้ในต้นปีที่ผ่านมา โดยจะต้องนำค่าใช้จ่ายเช่น ค่าแรกเข้าในการจ่ายให้ร้านค้า และการจัดโปรโมชั่น มาหักจากรายได้จากการขายทันที และบริษัทตัวแทนจำหน่ายสินค้าในประทเศ คือ บริษัท ซีโน่-แปซิฟิค เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ทำยอดขายไม่เป็นไปเป้า โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะต่อสัญญากับบริษัทดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งหากไม่ต่อสัญญาบริษัทจะทำเอง คาดว่าจะสรุปภายในเดือนมิ.ย.นี้

นอกจากนี้บริษัทมีแผนตั้งตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศเพิ่มขึ้น เช่น จีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย เพื่อทำให้ยอดขายในต่างประเทศของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 20 % จากไตรมาส 1 ปี2562 อยู่ที่ 16 % ส่วนตลาดในประเทศนั้น เน้นมีผลิตสินค้าจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อมากขึ้น เพราะมีการเติบโตที่ดี และเน้นกระจายสินค้าเข้าไปในร้านค้าปลีกดั้งเดิมมากขึ้น โดยปีนี้งบการตลาดในการทำโปรโมชั่นอยู่ที่ 200 ล้านบาท และคาดว่าอัตรากำไรสุทธิทั้งปีจะอยู่ที่ 14-15% จากปีก่อนทำได้ 13.91%

เธอกล่าวต่อว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการ 2-3 ราย ซึ่งอยู่ในกลุ่มเฮลธ์แคร์ในประเทศ เช่น ธุรกิจอาหารเสริมและ คลินิกเสริมความงาม คาดว่าจะสรุปภายในปีนี้ได้ 1 ดีล มูลค่าลงทุนประมาณ 100 -1,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าในปี 2566 บริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ 3 พันล้านบาท (ไม่รวมการเข้าซื้อกิจการ) เนื่องจากบริษัทมีแผนเพิ่มสินค้าใหม่ เพิ่มแบรนด์ใหม่ และเพิ่มตัวแทนจำหน่ายสินค้า รวมถึงการจำหน่ายสินค้าไปประเทศในแถบเอเชียให้มากขึ้น โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มเป็น 40 % และในประเทศที่ 60 %