กราบมากแค่ไหน คงเทียบไม่ได้กับพระมหากรุณาธิคุณ

กราบมากแค่ไหน คงเทียบไม่ได้กับพระมหากรุณาธิคุณ

ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและอาลัยยิ่ง พสกนิกรไม่น้อยที่เดินทางมาครั้งแล้วครั้งเล่า...

นับแต่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร สวรรคต เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้พสกนิกรได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม 2559-5 ตุลาคม 2560 ประชาชนจากทั่วสารทิศต่างหลั่งไหลมากันอย่างไม่ขาดสาย ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและอาลัยยิ่ง ในจำนวนนั้นมีไม่น้อยที่เดินทางมาครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยเป้าหมายและความตั้งใจแตกต่างกันไป...

ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงช่วยเหลือประชาชนทุกจังหวัดทั่วประเทศ ด้วยความยากลำบาก ถึงวันนี้คิดว่าทำไมจะทำให้พระองค์บ้างไม่ได้ ด้วยเหตุผลข้อนี้ ทำให้สองสามีภรรยา นายชัยณรงค์-นางกนกพร วันเจริญ อาชีพรับจ้าง ชาวหนองแขม เดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพเป็นประจำทุกสัปดาห์นับได้ 56 ครั้ง โดยส่วนใหญ่จะเลือกมาช่วงเช้า มาถึงเวลา 05.30 น. กราบถวายบังคมพระบรมศพเสร็จประมาณ 07.00 น. ก็พากันกลับไปทำงานต่อ

cakhci8bebihi7bb956aa  

นายชัยณรงค์-นางกนกพร วันเจริญ

“ไม่เคยคิดว่าการเดินทางมากราบพระบรมศพ จะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตหรือมีผลให้การทำงานในอาชีพติดขัด เราทำแค่นี้เทียบไม่ได้เลยกับพระองค์ท่านที่ทำให้ประชาชนมากมาย ทั้งทรงพระดำเนินขึ้นเขา ทรงลุยข้ามลำธาร เรามาแค่นี้มีทั้งข้าวให้กินมีทั้งน้ำให้ดื่ม รถราก็มีอำนวยความสะดวก เป็นไปไม่ได้ถ้าจะบอกว่ามากราบพระบรมศพแล้วลำบาก และจากที่ได้เห็นในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทุ่มเทพระวรกายทรงงานหนักเพื่อประชาชน จุดนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเองในเรื่องความมุ่งมั่น อดทน ถึงเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องผ่านไปให้ได้" นายชัยณรงค์ กล่าว

ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นดวงใจ เป็นชีวิต เป็นจิตวิญญาณของคนไทย คือเหตุผลให้ น.ส.ชลัยพร เลขะสมาน อาชีพธุรกิจส่วนตัว วัย 60 ปี เดินทางมาจากบางบัวทอง จ.นนทบุรี เพื่อมาสักการะพระบรมศพนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งเจ้าตัวเล่าว่า ในช่วง 100 วันแรกมาเกือบทุกวัน หลังจากนั้นจะมาสัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างน้อย ที่ปฏิบัติเช่นนี้เพราะตอนที่ยังทรงพระชนม์ชีพ พระองค์เสด็จฯ ไปทรงงานในพื้นที่ห่างไกลตลอดเวลา และตัวเองก็ไม่เคยมีโอกาสได้เฝ้าฯ รับเสด็จ ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้ายได้มาเข้าเฝ้าฯ พระองค์อย่างใกล้ชิด จึงอยากทำให้มากที่สุด

bjai66aekhdbk5jj7ab7k

น.ส.ชลัยพร เลขะสมาน

“สำหรับตัวเองในหลวงรัชกาลที่ 9 เปรียบเสมือนพระโพธิสัตว์เดินดิน ทรงให้อย่างเดียวเลย ให้โดยที่ไม่เคยหวังว่าประชาชนจะตอบแทนพระองค์ พระองค์ท่านไม่สนพระราชหฤทัยตรงนั้นเลย ทรงคิดอย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนทั้งแผ่นดินอยู่ดีมีสุข หลายครั้งที่ชีวิตตัวเองต้องเผชิญปัญหา มีคำถามที่ต้องคิด เมื่อถึงจุดตีบตันไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ จะนั่งมองพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งอยู่บนหิ้งพระ ช่วยทำให้จิตนิ่ง และมีสมาธิ ขณะเดียวกันก็มองย้อนกลับไปที่พระองค์ทรงงานอย่างเหน็ดเหนื่อยเพียงใด เมื่อกลับมาที่ปัญหาของตัวเองจะรู้สึกได้ทันทีว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับพระองค์ ที่สุดก็ทำให้เราผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้ทุกครั้ง เนื่องจากตัวเองประกอบอาชีพค้าขาย จึงน้อมนำคำสอนเกี่ยวกับเรื่องความไม่เอาเปรียบผู้อื่นมาใช้ อย่าง สินค้าดีก็บอกดี สินค้ามีตำหนิขายตามสภาพที่ควรจะเป็น พระองค์ยังทรงเป็นต้นแบบในเรื่องความไม่โกรธไม่เกลียด ไม่ใจร้อน ไม่วู่วาม ไม่เคยเห็นว่ามีพระราชดำรัสติเตียนผู้ใดเลย ในข้อเหล่านี้ตัวเองก็ได้น้อมนำมาปฏิบัติด้วยเช่นกัน รวมถึงส่งต่อไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานอีกด้วย เพราะเชื่อว่า ในสังคมถ้าเราไม่เอาเปรียบกัน ไม่โกรธไม่เกลียดกัน จะเป็นสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข” น.ส.ชลัยพร กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความรักความเทิดทูนในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างเต็มเปี่ยม

ด้านพสกนิกรชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช นางประภา แสงโพธิ์ ที่มาทำงานอยู่ย่านบางนา กรุงเทพฯ เพียรมากราบพระบรมศพหลายสิบครั้ง แม้จะต้องรอนานหลายสิบชั่วโมง หรือต้องตากแดดตากฝน รวมถึงความเจ็บป่วยของตัวเอง แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่อุปสรรค เพราะพระเมตตาของพระองค์ที่ทรงมีต่อประชาชนไทยนั้นยิ่งใหญ่นัก

jib96ag7efagcja87cdbb

นางประภา แสงโพธิ์ (ซ้ายสุด) และญาติๆ

"ส่วนตัวคิดว่าเราเป็นคนไทยยังไงก็ต้องมากราบพระองค์สักครั้ง ถึงแม้ว่าตอนที่ยังทรงพระชนม์ชีพจะไม่มีโอกาสได้เฝ้าฯ รับเสด็จ แต่เมื่อเสด็จสวรรคตแล้ว จึงตั้งใจว่าต้องมา ช่วงแรกเพิ่งผ่าเข่าทำให้ไม่สามารถเดินและยืนได้นานๆ ต้องอาศัยรถเข็นประมาณ 5-6 ครั้ง หลังจากร่างกายแข็งแรงดีก็เดินเข้ามาเอง คิดว่าเพราะบุญบารมีจากพระองค์แท้ๆ มาแล้วมาอีก อยากมาบ่อยๆ คิดว่าอีกไม่กี่วันพระองค์ก็จะไม่อยู่แล้ว พอดีพี่ชายมาจาก จ.เลย ส่วนหลานสาวมาจาก จ.กระบี่ เลยถือโอกาสพาทั้งสองคนมากราบพระบรมศพด้วย สำหรับตัวเองวันนี้นับได้ 62 ครั้ง และเพราะมาบ่อยๆ ทำให้รู้จักเส้นทางอย่างดี จึงมีโอกาสได้ช่วยแนะนำคนที่เพิ่งมาครั้งแรก เป็นการช่วยเหลือสังคมเล็กๆ น้อยๆ ไปในตัว พอทำแล้วตัวเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย เหมือนอย่างที่ทรงสอนให้คนไทยรักกัน” นางประภา กล่าวด้วยน้ำเสียงภูมิใจ

เช่นเดียวกับ นางเปรมจิต ศรีสง่า ชาวสมุทรปราการ วัย 79 ปี ซึ่งเดินทางมากราบพระบรมศพ ในหลวงรัชกาลที่ 9 มากกว่า 300 ครั้ง เล่าด้วยน้ำเสียงสดใสไร้วี่แววความเหน็ดเหนื่อย แม้ว่าอากาศจะร้อนและมีประชาชนเป็นจำนวนมากว่า เพราะในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงให้โดยไม่เคยร้องขอ ยังไม่รวมทรงมีคำแนะนำดีๆ ให้พสกนิกรนำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตมาโดยตลอด

“วันที่ได้ทราบว่าพระองค์ท่านเสด็จสวรรคต รับไม่ได้ ร้องไม่เชื่ออย่างเดียว พยายามบอกกับตัวเองว่า พระองค์ท่านยังอยู่ ยังประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช แต่เมื่อหนีความจริงไม่ได้ ก็พยายามเดินทางมาสักการะพระบรมศพ โดยช่วงแรกๆ เดินไม่ไหวต้องอาศัยรถเข็นเข้ามา แต่เพราะไม่อยากเป็นภาระใคร จึงอธิษฐานกับพระแก้วมรกตว่า ขอให้ตัวเองแข็งแรง เพื่อจะได้มากราบพระบรมศพหลายๆ ครั้ง วันนี้สามารถเดินเข้ามาสักการะพระบรมศพได้เอง สิ่งที่ทำให้ต้องมากราบพระบรมศพหลายครั้ง ครั้งละหลายรอบ ก็เพราะได้กราบพระองค์ท่านแล้วมีความสุข เหมือนมีวงดนตรีอยู่ในหัวใจ ยิ่งได้เห็นเพื่อนๆ คนไทยที่มาเจอกันตั้งใจมากราบ ยิ่งมีความสุขมาก” นางเปรมจิต กล่าว

9fcfc7hb75iaaia6afedh_1

นางอัจฉรา แซ่โค้ว

สำหรับผู้เดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพรวม 99 ครั้ง อย่าง นางอัจฉรา แซ่โค้ว อายุ 56 ปี ชาว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ บอกว่า แรกๆ ตั้งใจว่าจะกราบพระองค์ท่านให้ครบ 9 ครั้ง โดยช่วงก่อน 100 วันแรกเคยรอนานถึง 14 ชั่วโมง บางวันเจอทั้งฝนตกทั้งแดดร้อนแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการรอ พอผ่านไป 9 ครั้งก็อดไม่ได้ ยังอยากจะมาอีกเรื่อยๆ ให้ครบ 19 ครั้ง 29 ครั้ง 39 ครั้งและเพิ่มไปเรื่อยๆ จนที่สุดก็นับรวมได้ถึง 101 ครั้ง ซึ่งทุกครั้งที่ได้ขึ้นกราบพระบรมศพเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ตอนนี้ความตั้งใจลุล่วงไปแล้วเรื่องหนึ่ง สิ่งที่อยากทำต่อไปคือทำดอกไม้จันทน์เพื่อใช้ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ

“ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานมากมายเพื่อประชาชนคนไทย ทั้งโครงงานฝนเทียม โครงการเกี่ยวกับน้ำ ฯลฯ โดยส่วนตัวยังน้อมนำแนวพระราชดำริเรื่องความพอเพียงมาปรับใช้กับตัวเองด้วย รวมถึงเรื่องการแบ่งปัน อย่างโปสการ์ดพระบรมฉายาลักษณ์ ที่ได้รับหลังกราบพระบรมศพ ด้วยความที่เรามีมากก็จะนำไปแจกจ่ายคนที่ไม่มีโอกาสได้เดินทางมากราบด้วยตัวเอง และบางส่วนนำไปใส่กรอบแจกจ่ายให้กับวัดในต่างจังหวัดด้วย” นางอัจฉรา กล่าว

เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระประชวรคิดว่าอีกไม่นานพระองค์ท่านก็จะหายจากพระอาการประชวรและเสด็จพระราชดำเนินกลับวังไกลกังวลดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา จึงไม่ได้ติดตามพระอาการเท่าที่ควร แต่เมื่อพระองค์ท่านสวรรคตรู้สึกเสียใจมาก และนี่เองที่จุดประกายให้ น.ส.วัชรา สุวรรณเทวะธูป พนักงานบริษัทเอกชนวัย 43 ปี ใช้เวลาหลังเลิกงานเดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพแทบทุกวันจนนับครั้งไม่ถ้วน ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านทรงงานมากมายเพื่อประชาชนคนไทย

kccgahda9ja5fa68bbbbb

น.ส.วัชรา สุวรรณเทวะธูป

“มากราบพระองค์ท่านตั้งแต่ช่วงแรกที่เปิดให้ประชาชนขึ้นไปกราบได้ กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมากราบพระองค์ท่านทุกวันหลังเลิกงาน ช่วงแรกไม่ได้นับว่ามากี่ครั้ง ผ่านมาสักพักถึงได้เริ่มนับ ตอนนี้ก็ 102 ครั้งแล้ว แรกๆ เคยรอนานถึง 16 ชั่วโมง ทั้งฝนตกหนัก ทั้งแดดร้อนจัด ผ่านมาทุกรูปแบบแล้ว ยอมรับว่าเหนื่อยแต่ก็ไม่ท้อ ยิ่งเมื่อได้ขึ้นไปกราบพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง กลายเป็นความสุขขึ้นมาทันทีเมื่อได้ขึ้นไปอยู่ ณ จุดนั้น เรารักพระองค์ท่านและตั้งใจยึดแนวพระราชดำริเรื่องความพอเพียงมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ทั้งยังต้องรู้จักแบ่งปันด้วยที่เห็นชัดๆ ก็อย่างพระบรมฉายาลักษณ์และถุงข้าวพอเพียงที่ได้รับแจกหลังจากขึ้นกราบพระบรมศพ ตัวเองจะเก็บไว้แค่ 1-2 ชุดเท่านั้น ที่เหลือจะจ่ายแจกให้แก่คนที่ไม่มีโอกาสได้มา ให้พวกเขาได้เก็บไว้เป็นสิริมงคล” น.ส.วัชรา กล่าว

พระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 ผ่านโครงการพระราชดำรินานัปการ กลายเป็นพลังยิ่งใหญ่บันดาลให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่าพร้อมใจกันเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพนับครั้งไม่ถ้วน