คดีดัง! ศาลอุทธรณ์ยืนคุก2ปีไม่รอฯ'เจ๊สุ'เจ้าแม่เงินกู้ดอกโหด

คดีดัง! ศาลอุทธรณ์ยืนคุก2ปีไม่รอฯ'เจ๊สุ'เจ้าแม่เงินกู้ดอกโหด

คุก2ปีไม่รออาญา!! ลูกหนี้กว่า50ราย ร่วมฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตัดสินเห็นพ้องตามศาลชั้นต้น สั่งจำคุก "เจ๊สุ" เจ้าแม่เงินกู้นครพนม

วันที่ 9 ส.ค.60 บริเวณศาลจังหวัดนครพนม บรรดาลูกหนี้ของเจ้าแม่เงินกู้นอกระบบกว่า 50 คน เดินทางมารวมตัวกันที่ศาลาที่พักญาติ เพื่อฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีที่นางสาลิกา คนฉลาด อายุ 69 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40 หมู่ 7บ้านเหล่าภูมี ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม เป็นโจทก์ยื่นฟ้องในข้อหาเบิกความเท็จ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก น.ส. สุพิชญ์ฌา อภิชัจฐ์โภคิน หรือ น.ส.สุนภา เรืองสุวรรณ อายุ 56 ปี หรือที่เรียกกันว่า เจ้สุ เจ้าของ บจ.มิตรศิลป์มอเตอร์ไซด์ เลขที่ 924/1-4 ถ.อภิบาลบัญชา พร้อมลูกน้องเป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และประกันตัวออกมาสู้กันในชั้นอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ 31 พ.ค. 60 เป็นวันที่ศาลอุทธรณ์นัดฟังคำพิพากษา แต่ทนายฝ่ายจำเลยของน.ส. สุพิชญ์ฌายื่นเอกสารขอเลื่อน อ้างว่าลูกความป่วยกะทันหัน ศาลจึงนัดให้มาฟังคำพิพากษาในวันที่ 9 ส.ค.60 เวลา 09.00 น.

สำหรับบรรยากาศน.ส. สุพิชญ์ฌา เดินทางมายังศาลจังหวัดเข้าไปนั่งรออยู่ในห้องพิจารณา 6 ตั้งแต่เช้า เพื่อหลบการเผชิญหน้ากับสื่อมวลชนที่มารอนำเสนอข่าว ถึงเวลาศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ยืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกน.ส.สุพิชญ์ฌาพร้อมลูกน้องเป็นเวลา 2 ปี ทำให้เจ้าแม่เงินกู้สิ้นสุดอิสรภาพทันที เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำศาลฯ ควบคุมตัวใส่กุญแจมือนำตัวไปคุมขังยังห้องขังใต้ถุนศาล รอทนายยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัว จึงอยู่ในดุลพินิจของศาลพิจารณาตามขั้นตอน

หลังจบคำพิพากษาของศาล กลุ่มลูกหนี้ต่างโผเข้ากอดร่ำไห้ด้วยความดีใจ โดยนางสาลิกาผู้สร้างตำนานเอาคนรวยเข้าคุก เปิดเผยว่าขอบคุณในความยุติธรรม ก่อนหน้านี้น้อมรับฟังคำพิพากษาไม่ว่าจะออกมาในทิศทางใด วันนี้ทุกอย่างเหมือนถูกปลดปล่อย
นางสาลิกา คนฉลาด ผู้เป็นโจทก์ เล่าว่า เมื่อปี 2552 มีนายหน้าจัดหางานมาชักชวนลูกเขยกับลูกสาวไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ โดยต้องเสียค่านายหน้าในการดำเนินการ จึงนำโฉนดที่ดิน 3 แปลงไปจำนองเป็นประกันกัน เจ๊สุ โดยตีราคาที่ดินทั้งสามแปลงรวมกันเป็นเงิน 580,000 บาท หลังจดจำนองกลับได้รับเงินเพียง 520,000 บาท โดยเจ้สุอ้างว่าต้องหักดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 บาท/เดือน ไว้ล่วงหน้า 3 เดือน ที่เหลือเป็นค่าดำเนินการจดจำนอง และค่านายหน้ารวมเบ็ดเสร็จเป็นเงิน 6 หมื่นบาท แต่เมื่อถึงกำหนดไปรับเงินที่สำนักงานของเจ้สุ ซึ่งเปิดเป็นร้านจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ก่อนรับเงินได้ให้เซ็นสัญญาค้ำประกันเงินกู้ เป็นจำนวนเงินอีก 870,000 บาท โดยอ้างว่าทำกันไว้ หากไม่ยอมเซ็นก็จะไม่ได้เงิน ตนจึงจำยอมต้องเซ็นชื่อลงไป

จากนั้นกู้เงินกับกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน (อชก. ) และได้รับการอนุมัติจึงนำเงินไปขอปลดหนี้กับนายทุน แต่เจ้สุนำยอดเงินในสัญญาที่ทำเพิ่มทีหลังมาบวกเพิ่มเข้าไปอีก รวมเป็นเงินประมาณทั้งสิ้น1,400,00 บาท จึอต่อรองขอชำระเท่าที่ได้กู้มาจริงคือ 580,000 บาทแต่เจ้สุไม่ยอม หลังจากนั้น “เจ้สุ” ให้ทนายความยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดนครพนม บังคับจำนองเป็นจำนวนเงิน 1,238,125 รวมดอกเบี้ยอีกเป็นเงิน 1,900,000 บาท ได้ต่อสู้คดีมาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 2554 ถึงศาลฎีกาพิพากษาให้ตนชำระหนี้่ 520,000 บาท เท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับไปจริง ซึ่งตนก็ได้กู้ยืมเงินจาก อชก.ไปชำระเรียบร้อยแล้ว

หลังจากนั้นนางสาลิกา เข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.เมืองนครพนม ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับนายทุน ในข้อหาเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ในวันที่ 28 สิงหาคม 2557 แต่หลังจากสอบสวนแล้วพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง นางสาลิกาจึงจ้างทนายฟ้องเป็นคดีอาญาต่อศาลจังหวัดนครพนมเอง เป็นคดีดำเลขที่198/2559 และคดีแดงที่ 2776/2559 โดยศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2559 ให้ตัวนายทุนและลูกน้องที่เป็นพยานเท็จให้ต้องโทษติดคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 โดยนายทุนได้ขออุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2560

นางสาลิกา กล่าวว่า ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ทางกลุ่มนายทุนได้ส่งคนมาขอให้ยุติคดี โดยจะยอมจ่ายเงินชดเชยให้ 3 ล้านบาท แต่ปฏิเสธไปโดยเห็นว่าคนยากคนจนถูกนายทุนรายนี้เอารัดเอาเปรียบมานานแล้ว จึงนำมาสู่คำพิพากษายืนในชั้นอุทธรณ์ “เจ้สุ” เดินคอตกเข้าคุก สิ้นลายเจ้าแม่เงินกู้นอกระบบเมืองนครพนม