รักแท้!! พบสามีภรรยาตาบอดอยู่กินกันกว่า 20 ปี

รักแท้!! พบสามีภรรยาตาบอดอยู่กินกันกว่า 20 ปี

พบสุดยอดความรักของสามีภรรยาผู้พิการตาบอดตั้งแต่กำเนิด ชาว ต.บ้านนา อ.ปะเหลียน จ.ตรัง อยู่กินกันกว่า 20 ปีแล้ว มีลูก 1 คน

ผู้สื่อข่าวจังหวัดตรังรายงานว่า ได้พบสุดยอดความรักของสามีภรรยาผู้พิการตาบอดตั้งแต่กำเนิดคู่หนึ่ง เพราะถึงแม้ต่างคนจะมองไม่เห็นเหมือนกัน แต่กลับไม่รู้สึกเป็นอุปสรรค และยังใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป โดยสามีภรรยาคู่นี้คือ นายชัย เบ็ญระเหม อายุ 58 ปี และ นางวันดี เบ็ญระเหม อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 39 หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านนา อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง ได้อยู่กินกันมายาวนานกว่า 20 ปีแล้ว และมีลูกสาวด้วยกัน 1 คน ซึ่งทั้งสองไม่เคยให้คำมั่นสัญญาอะไร เพียงอยู่ดูแลกันเสมอมา และบอกว่าจะทำเช่นนี้ตลอดไป 

นายชัย เบ็ญระเหม ผู้เป็นสามี ซึ่งมีนิสัยขี้อาย พูดจาไม่หวาน แต่จิตใจดี กล่าวว่า เพราะชีวิตเป็นเรื่องง่ายๆ อย่าไปทำให้ยุ่งยาก แม้ตนจะตาบอด แต่ก็ไม่เคยทำร้ายใคร ส่วนการใช้ชีวิตประจำวันก็ไม่มีปัญหาอะไร แม้ตามองไม่เห็น แต่สามารถเดินไปมาทั้งภายในบ้าน และนอกบ้าน ได้อย่างสะดวก เพราะความเคยชิน รวมทั้งหุงข้าว ซักผ้า ทำกับข้าวได้เหมือนคนปกติทั่วไป 

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่อยู่กินกันกับ นางวันดี ผู้เป็นภรรยา แม้ไม่เคยเห็นใบหน้ากันแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับรู้สึกได้ว่าคู่ชีวิตของตนเป็นคนจิตใจดี ไม่พูดมาก ขยันทำมาหากิน โดยมีอาชีพนวดแผนโบราณ และมีลูกค้าติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ ทั้งขาประจำและขาจร ทำให้มีรายได้แบบพออยู่พอกิน เนื่องจากครอบครัวยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง จึงไม่ได้เดือดร้อนอะไร สำหรับลูกตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว และไม่ได้ตาบอดเหมือนกับพ่อแม่ โดยหลังเรียนจบชั้น ม.6 ก็ได้ไปทำงานแล้ว ซึ่ง 2-3 วัน ก็จะกลับมาเยี่ยมบ้านสักครั้งหนึ่ง 

ด้าน นายพิชิต ชายภักดิ์ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 5 กล่าวว่า ตนเองมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับครอบครัวของสามีภรรยาผู้พิการตาบอดรายนี้ รวมทั้งช่วยดูแลเรื่องความเป็นอยู่มาโดยตลอด จึงรู้สึกชื่นชมที่ทั้งคู่มีจิตใจที่เข้มแข็ง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ถึงแม้ตาจะบอดทั้งสองข้างก็ตาม แต่ก็ไม่เคยทำตัวเป็นภาระของใคร นอกจากนั้น ยังขยันทำมาหากิน และสู้ชีวิต จนสามารถส่งเสียลูกสาวให้เรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษา ถือว่าเป็นสุดยอดคนมากๆ ตนเองมีอะไรที่พอจะช่วยเหลือได้ ไม่เคยมีข้อแม้ และจะเข้าช่วยเหลือทันที ส่วนความรักที่ทั้งคู่มีต่อกัน และอยู่กินกันมายาวนานจนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องของจิตใจ ไม่เกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกแต่อย่างใด