(สกู๊ป) “เวย์น รูนีย์”กับ13ปีในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (9 ก.ค.) เกิดข่าวใหญ่ของวงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่อ เวย์น รูนีย์ กองหน้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เซ็นสัญญาย้ายกลับไปอยู่กับ เอฟเวอร์ตัน
ก่อนหน้านั้นเพียง 1 วันมีภาพของแข้งวัย 31 ปี รายนี้เดินทางไปที่สนามซ้อมของทีม เอฟเวอร์ตัน เพื่อทำการตรวจร่างกาย ก่อนจะย้ายกลับมาอยู่ในถิ่นกูดิสัน พาร์ค อีกครั้ง ซึ่งการย้ายทีมครั้งนี้ รูนีย์ ยอมลดค่าเหนื่อยของตัวเองจาก 300,000 ปอนด์ (ราว 13 ล้านบาท) เหลือเพียงเป็น 100,000 ปอนด์ (ราว 4.6 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ และจะเซ็นสัญญากับ “ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน” เป็นเวลา 2 ปีด้วยกัน ขณะที่เรื่องค่าตัวนั้น ก่อนหน้านี้ เอฟเวอร์ตัน เสนอมาที่ 10 ล้านปอนด์ (460 ล้านบาท) แต่บอร์ดบริหารของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เห็นตรงกันว่า เจ้าตัวควรกลับไปทีมเก่าอย่างสมเกียรติ จึงตัดสินใจไม่รับค่าตัว และยังพร้อมจ่ายค่าเหนื่อยบางส่วนเพื่อยกเลิกสัญญาให้อีกด้วย
โดยการย้ายทีมดังกล่าวเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้ง หลีกทางให้กับว่าที่กองหน้าคนใหม่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่าง โรเมลู ลูกากู ที่กำลังจะย้ายเข้าไปอยู่ในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ (ราว 3,200 ล้านบาท) รวมถึงต้องการโอกาสในการลงสนามมากกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม รูนีย์ ถือเป็นหนึ่งนักเตะของทีม “เร้ด เดวิลส์” ที่แฟนๆยกย่อง เนื่องจากเขาได้สร้างสถิติต่างๆ รวมถึงช่วยพาทีมประสบความสำเร็จได้อย่างมากมายตลอดเส้นทาง 13 ปีที่ผ่านมา
เริ่มต้นสายเลือด “ปีศาจแดง”
สำหรับ รูนีย์ เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับทีมเยาวชนของ เอฟเวอร์ตัน ในอายุ 9 ขวบ ในตำแหน่งกองหน้า โดยในซีซั่นที่ลงเล่นให้ เอฟเวอร์ตัน ชุดอายุต่ำกว่า 11 ปี เขาทำไปถึง 114 ประตู จาก 30 เกม
ด้วยผลงานดังกลล่าวทำให้ในปี 2002 รูนีย์ ในอายุเพียง 16 ปี ก็ได้ขึ้นชั้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ จนได้ลงประเดิมสนามในศึกพรีเมียร์ลีก ในฐานะตัวสำรอง เกมดวล ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ปีเดียวกัน หลังจากนั้น เจ้าตัวก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมมาโดยตลอด และจบการเล่นทีมชุดใหญ่ในฤดูกาลแรกด้วยสถิติลงสนาม 37 นัด ยิงไป 8 ประตู
ต่อมาในซีซั่น 2003-2004 รูนีย์ ก็ขึ้นมาเป็นแข้งตัวหลักของทีม และได้รับการจับตามองเป็นอย่างมาก จนกระทั่งจบฤดูกาลนั้นเขาได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 23 ขุนพลของทีมชาติอังกฤษในศึกยูโร 2004 ทั้งๆที่มีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น และเขาก็ทำผลงานได้ดีจนทำให้หลังทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือมือฉมังของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในขณะนั้น ยอมทุ่มเงินกว่า 27 ล้านปอนด์ (ราว 1,160 ล้านบาท) เพื่อคว้าตัวแข้งดาวโรจน์รายนี้ มาอยู่ในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ทันที
โดย รูนีย์ ฉายแววการตำนานของสโมสรแห่งนี้ได้ตั้งแต่การลงสนามนัดแรกให้กับทีม เมื่อจัดการซัดแฮตทริกใส่ เฟเนร์บาห์เช ในศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก และก็กลายเป็นตัวหลักของทีมนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ดาวซัลโวตลอดกาล
ตลอดระยะเวลา 13 ซีซั่นกับทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รูนีย์ ได้สร้างสถิติ รวมถึงผลงานไว้กับทีมอย่างมากมาย ทั้งการก้าวขึ้นมาเป็นดาวซัลโว สูงสุดตลอดกาลของสโมสร ด้วยการทำลายสถิติอมตะของ เซอร์ บ๊อบบี ชาร์ลตัน ที่พังประตูให้ทีมกว่า 249 ลูกลงได้สำเร็จ ด้วยการยิงไป 253 ประตู จากการลงสนามทั้งหมด 559 นัด รวมถึงการจ่ายให้เพื่อนยิงไป 98 ประตู โดยมีแค่ ไรอัน กิ๊กส์ ที่แอสซิสต์มากกว่าเขา หลังปีกพ่อมดชาวเวลส์ ทำไป 131 ครั้ง แต่ก็ลงเล่นมากกว่า รูนีย์ ถึง 404 เกม
ส่วนในนามสโมสร รูนีย์ พาทีม “ปีศาจแดง”คว้าแชมป์ได้ครับทุกรายการในขณะที่เจ้าตัวลงเล่น ประกอบด้วย แชมป์ พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, ลีก คัพ 1 สมัย, คอมมิวนิตี ชิลด์ 4 สมัย, ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 1 สมัย, ยูโร ปา ลีก 1 สมัย รวมทั้งสิ้น 13 รายการด้วยกัน
โดยแข้งวัย 31 ปี ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากจากเหล่าบรรดาตำนานของทีม รวมถึงแฟนบอล เนื่องจากเขาเป็นนักเตะที่ทุ่มเทให้กับทีมเต็มร้อย ทุกครั้งเมื่อลงสนาม ไม่ว่าจะได้รับคำสั่งให้ลงเล่นในตำแหน่งใดก็ตาม ซึ่งเขาเคยเล่นมาแล้วทั้ง กองหน้าตัวเป้า, กองหน้าตัวต่ำ และ กองกลางตัวรุก ทำให้เจ้าตัวได้รับหน้าที่เป็นกัปตันทีมตั้งแต่ปี 2014 จนกระทั่งจบซีซั่นที่แล้ว
กลับสู่ถิ่น “กูดิสัน พาร์ค” คำรบสอง
ด้วยอายุที่มากขึ้น ส่งผลให้ฟอร์มในช่วงหลังของ รูนีย์ ตกลงไปอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่ในฤดูกาล 2015-2016 ที่เขาถูก หลุยส์ ฟาน กัล เทรนเนอร์ของทีมในขณะนั้นถอยลงไปเล่นเป็นกองกลางตัวรุกแทนตำแหน่งกองหน้าซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาถนัด
ต่อเนื่องมาในซีซั่นที่แล้วในยุคของ โชเซ มูรินโญ ที่เขาก็ยังไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งที่สมกับค่าเหนื่อย 300,000 ปอนด์ (ราว 13 ล้านบาท) ออกมาได้ ทำให้เขาถูกดร็อปเป็นตัวสำรองอยู่บ่อยครั้ง และมีเสียงเรียกร้องให้ปล่อยตัวดาวเตะรายนี้ออกจากทีมก่อนเปิดซีซั่นใหม่ ซึ่งถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะถูกเสียงวิจารณ์อย่างหนักแต่ รูนีย์ ก็ยังตั้งใจฝึกซ้อม และทุ่มเททุกครั้งที่ลงสนาม จนช่วยให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าดับเบิลแชมป์ ทั้ง อีเอฟแอล คัพ และ ยูโรปา ลีก มาครองได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้ว รูนีย์ ก็ได้ตัดสินใจย้ายออกจากถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด โดยมีหลายทีมให้ความสนใจ ทั้งทีมจากเมเจอร์ ลีก สหรัฐ, ไชนีส ซูเปอร์ ลีก ของจีน รวมถึงอีกหลายทีมในพรีเมียร์ลีก แต่เขาก็ได้เลือกที่จะกลับไปอยู่กับ เอฟเวอร์ตัน สโมสรที่ให้โอกาสเขาเข้าสู่เส้นทางของอาชีพค้าแข้ง
โดยอดีตกัปตันทีม “ปีศาจแดง” กล่าวหลังย้ายกลับสู่ทีม “ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน” ว่า “ผมรู้สึกว่าตอนนี้สโมสรกำลังเดินมาถูกทางแล้ว มีการนำผู้เล่นที่มีความสามารถเข้ามา ผมอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในนั้น และหวังว่าจะมีส่วนช่วยให้เอฟเวอร์ตันประสบความสำเร็จ”
ขณะที่ โรนัลด์ คูมัน นายใหญ่เอฟเวอร์ตัน กล่าวว่า “เวย์น แสดงให้ผมเห็นถึงความทะเยอทะยานที่เราต้องการและคิดถึงแต่ชัยชนะ เขารู้ดีว่าต้องทำอย่างไรถึงจะชนะ และผมมีความสุขจริงๆที่เขาตัดสินใจกลับมาบ้านหลังนี้ เขารักเอฟเวอร์ตัน และเขาก็อยากจะกลับมา เขาอายุเพียง 31 และผมก็ไม่มีความสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับคุณภาพของเขา มันเยี่ยมมากๆที่เขามาที่นี่”
และทั้งหมดนี้คือเส้นทาง และเกียรติประวัติต่างๆในช่วงระยะเวลา 13 ปีของ รูนีย์ กับทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และคงไม่ใช่เรื่องที่พูดเกินจริงแต่อย่างใดว่าเขาคือตำนานแข้งคนหนึ่งแห่งถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ที่แฟนๆ และเพื่อนร่วมทีมจะต้องจดจำ และนึกถึงอย่างแน่นอนในช่วงเวลานับจากนี้







