(สกู๊ป) 2016-2017 ฤดูกาลแห่งการอำลายอดแข้ง
จบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับฟุตบอลฤดูกาล 2016-2017 ของ 5 ลีกดังยุโรป ที่ได้ตำแหน่งแชมป์ลีก, แชมป์ต่างๆในประเทศ รวมถึงทีมเลื่อนชั้น-ตกขั้นกันอย่างครบถ้วน
โดยจะเหลือเพียงฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ ระหว่าง เรอัล มาดริด กับ ยูเวนตุส ในวันที่ 3 มิ.ย.นี้ เท่านั้น
เป็นเรื่องปกติที่ฟุตบอลจะต้องมีการจบฤดูกาล แต่ในซีซั่น 2016-2017 ที่ผ่านมานี้ ได้มีสิ่งที่น่าใจหายสำหรับวงการลูกหนังเกิดขึ้น นั่นก็คือ การที่เหล่าบรรดาแข้งดังระดับโลกที่เคยสร้างชื่อเสียง รวมถึงเป็นที่รู้จักของแฟนบอลอย่างกว้างขวาง ต่างพาเหรดกันประกาศแขวนสตั๊ดกันเป็นจำนวนมากด้วยเหตุผลด้านอายุ หรือเรื่องส่วนตัวก็ตาม
5.อเล็ก แมนนิงเกอร์
ถึงแม้ว่าอดีตนายทวารทีมชาติออสเตรียรายนี้ อาจไม่เป็นที่รู้จักสำหรับแฟนบอลรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตามแฟนบอลรุ่นเก่าที่ติดตามวงการลูกหนังมาเกิน 10 ปี ต้องคุ้นชื่อเขาอย่างแน่นอน เนื่องจากเจ้าตัวมีประสบการณ์การค้าแข้งอย่างเต็มเปี่ยมในลีกยุโรป ทั้งอาร์เซนอล, ฟิออเรนตินา, เอสปันญอล, อูดิเนเซ, ยูเวนตุส และเอาก์สบวร์ก ก่อนจะย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล เมื่อปีก่อน ซึ่งเจ้าตัวเคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีกกับอาร์เซนอลในฤดูกาล 1997-98 รวมถึงเอฟเอ คัพ ฤดูกาลเดียวกันมาแล้วด้วย
โดยนายด่านวัย 33 ปี ให้เหตุผลถึงการแขวนสตั๊ดว่า "ผมคิดถึงเรื่องนี้มาตั้งแต่ช่วงสองถึงสามเดือนที่ผ่านมา และผมก็ตัดสินใจที่จะไม่รออีก ต่อไปในช่วงซัมเมอร์นี้แล้ว เนื่องจากสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย" นอกจากนั้น แมนนิงเกอร์ ยังเผยถึงเป้าหมายต่อไปของตนเองหลังเลิกอาชีพพ่อค้าแข้งว่า จะกลับไปเป็นช่างไม้ เพื่อทำงานเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ตนเองรักไม่แพ้การเล่นฟุตบอล
4.ฟิลิปป์ ลาห์ม
หากจะพูดถึงแบ็คขวาระดับโลกที่มีผลงานสม่ำเสมอ รวมถึงมีความเป็นผู้นำสูง หลายคนคงจะนึกถึงดาวเตะวัย 33 ปีจากทีม บาเยิร์น มิวนิค รายนี้ โดย ลาห์ม เริ่มเล่นฟุตบอลกับทีม “เสือใต้” ตั้งแต่ระดับเยาวชน ก่อนเจ้าตัวจะย้ายไปร่วมทีม สตุ๊ตการ์ท แบบยืมตัวในปี 2003 ซึ่งที่นี่ถือเป็นทีมแจ้งเกิด ของ ลาห์ม อย่างแท้จริง ทำให้ในปี 2005 บาเยิร์น ได้ดึงตัวเขากลับมาร่วมทัพอีกครั้ง
หลังจากนั้นเขาก็ได้รับเกียรติให้เป็นกัปตันทีม พร้อมช่วยให้ต้นสังกัดกวาดแชมป์มาครองอย่างมากมาย ทั้ง บุนเดสลีกา 7 สมัย, แชมป์ เดเอฟเบ โพคาล 6 สมัย และ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รวมถึง แชมป์ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ อย่างละ 1 สมัย ด้วยจำนวนการลงสนามกว่า 500 นัด นอกจากนั้นในนามทีมชาติเยอรมัน ลาห์ม ยังคว้าแชมป์โลกมาครองได้ในปี 2014 อีกด้วย
โดย ลาห์ม ให้สัมภาษณ์ถึงการแขวนเกือกของตนเองว่า “ผมคิดว่ามันเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะเลิกเล่น แม้ผมยังพร้อมทุ่มเทเต็มที่ในทุกสิ่ง, ทุกวัน, ทุกการฝึกซ้อม และทุกเกมที่ได้ลงสนาม แต่มันจะไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นแล้ว”
3.ชาบี อลอนโซ
ถือเป็นข่าวช็อคพอสมควรเมื่อ ชาบี อลอนโซ กองกลางตัวเก๋าวัย 35 ปีของ บาเยิร์น มิวนิค ประกาศแขวนสตั๊ดหลังจบซีซั่นนี้ หลังจากที่ ฟิลิปป์ ลาห์ม เพื่อนร่วมสังกัดเพิ่งประกาศไปก่อนหน้าไม่นาน เนื่องจากหากดูผลงานในสนาม และสภาพร่างกายแล้ว เขาสามารถยืนระยะการค้าแข้งอีกอย่างน้อย 1-2 ปี อย่างแน่นอน
โดย อลอนโซ เริ่มต้นชีวิตนักฟุตบอลอาชีพกับ เรอัล โซเซียดัด และเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีโดยพา เรอัล โซเซียดัด ไปถึงตำแหน่งรองแชมป์ลา ลีกา ฤดูกาล 2002–03 จากนั้นเขาได้ย้ายไปร่วมทีม ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2004 โดยฤดูกาลแรกที่มาถึงก็พา “หงส์แดง” คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2004-05 เหนือ เอซี มิลาน และในฤดูกาลต่อมาก็ได้ แชมป์คอมมิวนิตี ชิลด์ และเอฟเอคัพ รวมไปถึงแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ อีกด้วย
แต่ในปี 2009 เขาย้ายมาอยู่กับ เรอัล มาดริด ซึ่งด้วยผลงานที่นี่ส่งผลเขาได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย ได้แก่ ฟีฟ่า ฟิฟโปร เวิลด์ XI ปี 2011 , กองกลางยอดเยี่ยมลาลีกา ปี 2012 และยังพา “ราชันชุดขาว” คว้าแชมป์ลาลีกา ฤดูกาล 2011-12 ,โกปา เดล เรย์ ฤดูกาล 2010-11 และ 2013-14, รวมไปถึง แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2013-14
ต่อมา อลอนโซ ตัดสินใจย้ายมาเล่นให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2014 พร้อมช่วย “เสือใต้” ได้แชมป์บุนเดสลีกา 3 สมัยติดต่อกัน ตั้งแต่ฤดูกาล 2014-2015 รวมถึงคว้าแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ฤดูกาล 2015-16 ก่อนประกาศแขวนสตั๊ดในที่สุด
2.แฟรงค์ แลมพาร์ด
หลังจากที่ไร้สังกัดมาได้สักพักหนึ่ง นับตั้งแต่หมดสัญญากับ นิวยอร์ค ซิตี ซึ่งกลายเป็นต้นสังกัดสุดท้ายในชีวิตนักฟุตบอลเมื่อช่วงปลายปีก่อน ในที่สุด แฟรงค์ แลมพาร์ด อดีตกองกลางเชลซี และทีมชาติอังกฤษ ซึ่งมีจุดเด่นตรงการวางบอล และการยิงไกล ก็เป็นอีกหนึ่งแข้งระดับโลกที่ตัดสินใจแขวนสตั๊ดในวัย 38 ปี โดยให้เหตุผลว่า ถึงเวลาอันเหมาะสมของตนเองแล้ว โดยเตรียมเข้าฝึกอบรมเพื่อสวมบทเป็นโค้ชต่อไป
สำหรับ แลมพาร์ด โชว์ฝีเท้าบนสังเวียนแข้งมานานถึง 21 ปี นับตั้งแต่เริ่มต้นเป็นนักเตะอาชีพกับ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ในปี 1995 ก่อนจะย้ายมาเป็นนักฟุตบอลระดับตำนานของ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี พร้อมอยู่รับใช้มานานถึง 13 ปีเลยทีเดียว และเป็นเจ้าของดาวยิงสูงสุดตลอดกาล 211 ประตูจากการลงสนาม 400 เกมในทุกรายการ แถมยังเคยประสบความสำเร็จจากการคว้าแชมป์รายการใหญ่อย่าง แชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 3 สมัย, แชมป์เอฟเอ คัพ 4 สมัย รวมถึงแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก และแชมป์ยูฟ่า ยูโรปา ลีก 1 สมัย ส่วนในนามทีมชาติ เจ้าตัวลงรับใช้ทีม“สิงโตคำราม” มากถึง 106 เกม
1.ฟรานเชสโก ต๊อตติ
ในซีซั่นนี้แนวรุกวัย 40 ปี ไม่ได้เป็นตัวหลักในทีมของ ลูเซียโน สปัลเล็ตติ ประกอบกับสัญญาฉบับปัจจุบันของเขาจะหมดลงในช่วงจบฤดูกาลนี้ แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธถึงการแขวนสตั๊ดมาโดยตลอด พร้อมยอมลดค่าเหนื่อย และเป็นตัวสำรองเพื่อให้ได้เล่นต่อไป อย่างไรก็ตามในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ดาวเตะเจ้าของฉายา “เจ้าชายหมาป่า” ก็ได้ประกาศจบอาชีพการค้าแข้งเป็นที่เรียบร้อยหลังจบฤดูกาลนี้ และลงสนามเป็นเกมสุดท้ายในฐานะนักเตะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วในเกมที่ต้นสังกัดเอาชนะ เจนัว ได้ 3-2 เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา
สำหรับ ต๊อตติ ถือเป็นอีกหนึ่งนักเตะที่ได้รับความรัก และชื่นชมจากแฟนบอลทั่วโลกตลอด 25 ปีบนเส้นทางลูกหนัง ไม่เฉพาะแค่แฟน “หมาป่ากรุงโรม” หรือทีมชาติอิตาลี เหตุผลเพราะเจ้าตัวเป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์สูง โดยเขาสามารถทำประตูได้ดี จ่ายบอลได้แม่นยำ รวมถึงมีความเป็นผู้นำ ซึ่งด้วย ความสามารถดังกล่าวจึงปฎิเสธไม่ได้ว่าเขาคือสุดยอดนักเตะแห่งยุค รวมถึงการอยู่ต้นสังกัดเดียวตลอดตั้งแต่เริ่มค้าแข้ง จนถึงวันที่แขวนสตั๊ด
โดย ต๊อตติ คว้าแชมป์ร่วมกับทีม โรมา ทั้งหมด 3 รายการ ตลอดการลงสนาม 786 นัด ยิง 307 ประตู ประกอบด้วย กัลโช เซเรีย อา 1 สมัย (2000–01), โคปปา อิตาเลีย 2 สมัย (2006–07, 2007–08) และซูเปอร์โคปปา อิตาเลียนา 2 สมัย (2001, 2007)
ส่วนเกียรติประวัติส่วนตัว ต็อตติ คว้ารางวัลมาอย่างมากมาย เช่น นักเตะยอดเยี่ยมกัลโช เซเรีย อา 2 สมัย (2000, 2003), นักเตะอิตาเลียนยอดเยี่ยมแห่งกัลโช เซเรีย อา 5 สมัย (2000, 2001, 2003, 2004, 2007), ดาวซัลโว กัลโช เซเรีย อา 1 สมัย (2006–07) จึงไม่น่าแปลกใจที่ใครหลายคนจะยกให้แข้งรายนี้เป็นตำนานแห่งวงการฟุตบอลอิตาลีจนถึงปัจจุบัน
การปิดฉากการค้าแข้งของเหล่าแข้งชื่อดังข้างต้น ถือได้ว่าเป็นยุคเปลี่ยนผ่านในการเข้าสู่ฟุตบอลยุคใหม่อย่างแท้จริง ซึ่งต้องมาดูกันว่านักเตะดาวรุ่งในยุคปัจจุบันนี้ จะสามารถทำผลงานได้ยอดเยี่ยม และเป็นที่จดจำเหมือนกับที่แข้งรุ่นพี่เคยทำไว้ได้หรือไม่?







