ฤดูกาลแห่งความสำเร็จของ ““เฟเยนูร์ด”

ฤดูกาลแห่งความสำเร็จของ ““เฟเยนูร์ด”

ฟุตบอล “เอเรดิวิซี่” ลีกสูงสุดของเนเธอแลนด์ ปิดฉากลงไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ปรากฏว่า “เฟเยนูร์ด ร็อตเธอร์ดัม” คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ

หลังจากเกมสุดท้ายเปิดบ้านเอาชนะเฮราเคิลส์ไป 3-1 มี 82 คะแนน จาก 34 นัด ถือเป็นผงาดกลับมาเป็นแชมป์อีกครั้งในรอบ 18 ปี นับตั้งแต่ฤดูกาล 1998 – 1999

ความสำเร็จของทีมจากริมแม่น้ำเมิซด้วยการเป็นแชมป์ลีกสมัยที่ 15 ครั้งนี้ มาจากความยอดเยี่ยมตลอดทั้งฤดูกาล เลยก็ว่าได้

 

คำปรามาสก่อนเริ่มฤดูกาล

หลังจากการผลัดกันครองความสำเร็จตลอด 17 ปี ของสองทีมดังแห่งลีกดัชต์คือ “อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม” และ “พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น”  ซึ่งมีบางฤดูกาลที่  “ทเวนเต้” และ “อาแซด อัคมาร์”   ได้สร้างเซอร์ไพร์สคว้าแชมป์มาครองได้

แต่กลับกันทีมดังแห่งกรุงร็อตเธอร์ดัม แม้ว่าจะมีผลงานคว้าแชมป์บอลถ้วยภายในประเทศ และถ้วยยุโรปอย่างยูฟ่า คัพ ติดไม้ติดมือมาบ้าง แต่แน่นอนว่าแชมป์ลีกคือความหวังสูงสุดของแฟนบอล

ก่อนฤดูกาล 2016-2017 จะเริ่มขึ้น “เฟเยนูร์ด” ถูกมองว่ามีโอกาสจบอันดับที่สามดังเช่นฤดูกาลก่อนหน้า เมื่อพิจารณาจากขุมกำลังการเสริมทีมเพิ่มเติมทั้งสิ้น 6 คน โดย 4 คนเป็นการยืมตัว อีก 1 รายเป็นผู้เล่นฟรีเอเยนต์ มีเพียง “นิโคไล ยอร์เกนเซ่น” ที่ลงทุนซื้อมาจาก เอฟซี โคเปเฮเกน ด้วยค้าตัว 3 ล้านปอนด์

ขณะที่ “โจวานนี่ ฟาน บรองค์ฮอร์สท์ อดีตตำนานของทีมที่เข้ามารับหน้าที่เป็นกุนซือของทีมเมื่อฤดูกาลที่แล้วก็ถูกคาดหวังอย่างยิ่งจากทั้งทีมผู้บริหารและแฟนบอลว่า จะพาทีมคืนสู่ความยิ่งใหญ่ในลีกได้ในสักวันหนึ่ง หลังจากพาทีมคว้าแชมป์ดัชต์ คัพ ได้ในปี 2016

 

สถานการณ์การแข่งขัน

แม้ว่าจะถูกปรามาสจากสื่อมวลชนแดนกังหันลมแต่ลูกทีมของฟาน บรองค์ฮอร์สท์ ก็เปิดฤดูกาลอย่างสวยหรู ไล่ตั้งแต่เปิดบ้านถล่มโกรนิงเก้น 5-0 จากนั้นไล่เก็บชัยชนะ 9เกมรวด ก่อนที่จะมาสะดุดสามเกมติดต่อกัน โดยเปิดบ้านเสมอกับอาแจ๊กซ์ 1-1 และ ฮีเรนวีน 2-2 จากนั้นบุกไปแพ้ โก อเฮด อีเกิ้ลส์ 1-0 แม้ว่าเกมต่อมา จะเอาชนะ  ซวอลล์ ได้ 3-0 แต่เกมต่อมาก็บุกไปเสมอกับ อุเทรชต์ 3-3  ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในฤดูกาล

แต่กระนั้นเมื่อมาตั้งตัวได้ ก็ระเบิดฟอร์มสุดยอด นับตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2016 มาจนถึงวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา ยอดทีมจากถิ่นเดเกยป์  เก็บชัย 13 นัดรวด 39 แต้มเต็ม นำเป็นจ่าฝูงแบบเบ็ดเสร็จ  จนทำให้แฟนบอลเริ่มฝันถึงถาดแชมป์เอรดิวิซี่ ลีกแล้ว

ถึงย่างไรก็ตามเมื่อเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ การพลาดท่าต่อการบุกไปแพ้อาแจ๊กซ์ 2-1 เสมอกับ วอลล์ 3-3 ทำให้อาแจ๊กซ์ที่ฟอร์มดีขึ้นมาในช่วงหลังกลับมามีลุ้นทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพ่ายแพ้ยับเยินต่อเอ็กเซลซิเออร์ 3-0 ในเกมก่อนรองสุดท้าย เกมสุดท้ายจึงกลายเป็นเกมที่ชี้ชะตาแชมป์อย่างแท้จริง เพราะคะแนนขณะนั้น เฟเยนูร์ด อยู่ที่ 79 และ อาแจ็กซ์ อยู่ที่ 78

แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่กดดันแต่เฟเยนูร์ด ก็สามารถทำได้สำเร็จเอาชนะเฮราเคิลส์ไป 3-1 คว้าแชมป์ไปด้วยสถิติ 34 นัด ชนะ 26 เสมอ 4 และ แพ้ 4 มี 82 แต้ม เฉือนเอาชนะอันดับสองอย่างอาแจ๊กซ์ไปแค่แต้มเดียวเท่านั้น ที่สำคัญถือเป็นแต้มสูงสุดที่เฟเยนูร์ดทำได้ในลีกสูงสุด ตลอดประวัติศาสตร์ 109 ปีของสโมสร

ซึ่งหากลองพิจารณาถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จครั้งนี้ของเฟเยนูร์ดนั้น ต้องยอมรับว่าทีมเต็งอีกสองทีมอย่างอาแจ๊กซ์ และ พีเอสวี มีข้อผิดพลาดค่อนข้างมาก

อาแจ๊กซ์นั้นเริ่มฤดูกาลได้ไม่ดี บางช่วงถึงขนาดตกไปอยู่กลางตารางจนกลับมาฟอร์มแรงในครึ่งหลัง ส่วนพีเอสวี หลุดเสมอไปถึง 10 เกม ทั้งหมดนี้ส่งผลบวกต่อเฟเยนูร์ดทั้งสิ้น

 

“เดิร์ก เคาท์ และ “นิโคไล ยอร์เกนเซ่น”

แฮตทริกของ “เดิร์ก เคาท์ ในเกมสุดท้ายที่ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ได้สำเร็จกลายเป็นโมเม้นท์สุดประทับใจ เพราะหลังจากย้ายกลับมาสู่ทีมที่ตนเพิ่งเริ่มสร้างชื่อเมื่อซีซั่นที่ผ่านมาก็สมหวังจนได้ เพราะไม่น่าเชื่อว่าตลอดอาชีพค้าแข้งเกือบ 20 ปี ของศูนย์หน้าวัย 36 ปีจะได้แชมป์ลีกสูงสุดเพียงแค่ครั้งเดียวกับเฟเนร์บาห์เช่ ของตุรกี โดยในฤดูกาลนี้ช่วยทีมรวมทุกนัด 38 เกมทำไป 15 ประตู

ส่วนอีกคนที่สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมคือ “นิโคไล ยอร์เกนเซ่น” ศูนย์หน้าทีมชาติเดนมาร์ก ที่ย้ายมาร่วมทีมในซีซั่นนี้ ด้วยการค้วาดาวซัลโวของลีกดัชต์จำนวน 21 ประตู ซึ่งก็ทำให้แฟนเฟเยนูร์ด กังวลไม่น้อยว่าศูนย์หน้าวัย 26 ปีจะย้ายออกจากทีมหรือไม่ เพราะดาวซัลโวลีกดัชต์มักถูกสโมสรลีกยักษ์ใหญ่ในยุโรปดึงตัวไปร่วมทีมเสมอตลอด 6 ซีซั่นหลังสุด

 

ทั้งนี้ความสำเร็จของเฟเยนูร์ด ยังเป็นการหยุดสถิติการผลัดกันคว้าแชมป์ของ อาแจ๊กซ์ และพีเอสวี ในรอบหกปี  แต่ก็ต้องยอมรับว่าทั้งสามทีมต่างก็เป็นทีมที่ผลัดการครองความยิ่งใหญ่ของลีกดัชต์มาโดยตลอด

ซึ่งก็มีแฟนบอลอีกไม่น้อยที่หวังจะให้มีทีมที่ทำเซอร์ไพรซ์บ้าง ดังเช่น “อาแซด อัคมาร์”  และ “ทเวนเต้” เคยทำได้