งานวิจัยชี้ชัด 'รถตู้' เกิดอุบัติมากกว่ารถบัสมากถึง 5 เท่า

งานวิจัยชี้ชัด 'รถตู้' เกิดอุบัติมากกว่ารถบัสมากถึง 5 เท่า

นักวิชาการชี้ ผลวิจัยชี้รถตู้ไม่เหมาะสมเป็นรถโดยสาร ขณะที่สถิติเกิดอุบัติเหตุสูงกว่ารถบัส 1 ชั้นมากกว่า 5 เท่า

เมื่อวันที่ 6 ม.ค.60 ที่ห้องประชุมสารนิเทศ ชั้น 2 หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเวทีจุฬาฯ เสวนา ครั้งที่ 4 เรื่อง “แนวทางปฏิรูป หลังโศกนาฏกรรมรถตู้” เนื่องจากกรณีอุบัติเหตุรถตู้โดยสารชนรถกระบะ ที่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา 2560 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 25 ศพ

โดย รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตนเชื่อว่าปัญหาอุบัติเหตุจากรถตู้เป็นเรื่องที่พูดกันมาตลอด พูดเท่าไรก็ไม่จบ ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าปัญหานี้แก้ไขได้โดยใช้เทคโนโลยีมาช่วย แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องจริงจัง ซึ่งเมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.คมนาคม เกิดอุบัติเหตุขนาดใหญ่จากรถบัส ทำคนเสียชีวิตจำนวนมาก ได้ลงพื้นที่ด้วยตนเองเห็นศพจากอุบัติเหตุมาไม่น้อยกว่า120 ศพ จึงได้จัดทำโครงการติดตั้งจีพีเอส (GPS)ในรถบัส เพื่อควบคุมพฤติกรรมคนขับ ความคุมความเร็วรถ หากขับเร็วกว่ากำหนดจะส่งสัญญาณเสียงเข้ามาในรถ ให้ผู้โดยสารทราบจะได้ช่วยคุมพฤติกรรมคนขับ ขณะเดียวกันจีพีเอสยังช่วยเตือนล่วงหน้าก่อนถึงทางโค้ง และสัญญาณจีพีเอสยังส่งเข้าไปที่บริษัทขนส่งจำกัด (บขส.)และกระทรวงคมนาคม ทำให้เราเห็นภาพรถบัสวิ่งทั่วประเทศตลอด24 ชั่วโมง หากรถบัสวิ่งเร็วกว่ากำหนดหรือเห็นความผิดปกติ สามารถวิทยุสื่อสารไปให้ด่านตำรวจดักจับได้ ซึ่งผลจากการใช้จีพีเอสควบคุมรถบัส ทำให้ลดอุบัติเหตุได้ 80% ซึ่งรถตู้ก็สามารถติดจีพีเอสได้ แต่โครงการนี้ยังไม่ครอบคลุม

ทั้งนี้ เชื่อว่ากระทรวงคมนาคมทราบปัญหานี้ดีและคงกำลังดำเนินการอยู่ แต่การติดจีพีเอสอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วน ประชาชนต้องตระหนักในสิทธิของตนเอง ขึ้นรถตู้แล้วควรมองหาอุปกรณ์ป้องกันอุบัติเหตุ เช่น เข็มขัดนิรภัย ประตูฉุกเฉิก เป็นต้น

ด้าน ศ.ดร.นพ.อภิวัฒน์ มุทิรางกูร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้จุฬาฯ สูญเสียอย่างมหาศาล มีการพูดคุยกันว่าจะมีวิธีการแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งมีข้อเสนอว่าต้องกลับมาดูเรื่องของกฎหมายว่ามีเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย เช่น การใช้รถแก๊สขนคนทำได้หรือไม่ ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการจำกัดความเร็ว ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม มีการรายงานพฤติกรรมคนขับผ่านแอปพลิเคชันไลน์ รวมทั้งรัฐบาลจะต้องมีการบริหารจัดการ ให้ประชาชนมีทางเลือกในการเดินทางอย่างพอเพียง ที่สำคัญต้องมีการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง ต้องเชือดไก่ให้ลิงดู ไม่ใช่ปรับแค่ 6,000 บาทแล้วก็จบ อีกทั้งจะต้องมีการจัดเก็บสถิติของอุบัติเหตุต่างๆ เพื่อนำมาใช้แก้ไขปัญหา ที่สำคัญต้องใช้กรณีที่เกิดขึ้นมาปลุกจิตสำนึก ให้ความรู้แก่ประชาชนก่อนเทศกาลที่จะหยุดยาว เช่น จุฬาฯอาจจะต้องจัดทำแคมเปญไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนก่อน2 สัปดาห์เพื่อเป็นการเตือนให้สังคมให้ตระหนักถึงเรื่องอุบัติเหตุ

“ปัญหาลึกๆของอุบัติเหตุครั้งนี้ น่าจะมาจากเรื่องของการขาดคุณธรรมที่เห็นเงินสำคัญกว่าความปลอดภัย ซึ่งการใช้อำนาจหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่ง ชาติ (คสช.) ตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่รวดเร็ว แต่ก็มีคำถามว่าถ้าหมดรัฐบาลชุดนี้แล้วเทศกาลอื่นๆก็จะเกิดอุบัติเหตุอีกหรือไม่ ดังนั้น จะต้องวางมาตรการระยะยาวและไม่ควรแก้ไขเฉพาะรถตู้ ต้องรวมไปถึง และต้องนำมาแก้ไขทางกายภาพด้วย”ศ.ดร.นพ.อภิวัฒน์ กล่าว

 ด้าน รศ.ดร.ศักดิ์สิทธิ์ เฉลิมพงศ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ขณะนี้มีการนำรถตู้มาให้บริการสาธารณะจำนวนมาก จนสังคมตั้งคำถามว่าเหมาะสมหรือไม่ เหตุนี้กรมขนส่งทางบกและจุฬาฯ ได้ศึกษาวิจัย เรื่อง โครงการการศึกษาความปลอดภัยรถตู้โดยสารสาธารณะ พบว่า การนำรถตู้มาเป็นรถโดยสารสาธารณะไม่เหมาะสม และจากสถิติอุบัติเหตุเห็นชัดว่ารถตู้โดยสารสาธารณะเกิดอุบัติเหตุมากรถบัส 1 ชั้นมากถึง 5 เท่า อีกทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วไม่มีการนำรถตู้มาให้บริการสาธารณะ ดังนั้น จุฬาฯได้นำเสนอแผนแก้ไขปัญหาโดยจะต้องเปลี่ยนรถในการให้บริการสาธารณะที่วิ่งระหว่างเมืองจากรถตู้ มาเป็น รถมินิบัส 20 ที่นั่ง แต่ถ้าเป็นการบริการในเมืองอาจจะใช้รถตู้ได้เพราะวิ่งไม่ไกลและทำความเร็วได้ไม่มาก และจะต้องมีการปรับเปลี่ยนระบบบริหารจัดการ เพิ่มสวัสดิการต่างๆ ให้คนขับรถตู้ เพราะที่ผ่านมาพบว่า คนขับรถตู้เป็นผู้ประกอบการรายย่อยที่ลงทุนเอง เงินรายได้จะมาจากค่าโดยสารจึงทำให้ต้องวิ่งทำรอบเพื่อให้ได้ค่าโดยสารที่เพียงพอกับค่าเช่ารถ เป็นเหตุให้เกิดพฤติกรรมการขับรถที่แย่ๆ

“ในงานวิจัยได้เสนอให้ตัดวงจรนี้ โดยมีการจัดสวัสดิการ เงินเดือน ให้คนขับ อย่างไรก็ตาม จุฬาฯได้นำเสนอรายงานฉบับสมบูรณ์ต่อรัฐบาลไปแล้วตั้งแต่ตุลาคม 2559 น่าเสียดายที่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการตามแผนงานก็เหตุการณ์ดังกล่าว”รศ.ดร.ศักดิ์สิทธิ์ กล่าว

ผศ.ดร.อภิวัฒน์ รัตนวราหะ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า รัฐบาลลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานมากกับเรื่องของถนน และรถไฟฟ้า ขณะที่การลงทุนเรื่องของรถตู้น้อยมาก ทั้งที่มีคนใช้บริการจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชนชั้นกลาง ดังนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าการให้บริการขั้นพื้นฐานไม่เป็นธรรม ดังนั้น รัฐบาลควรจะเข้ามาช่วยสนับสนุนในการลงทุนขั้นพื้นฐานไม่ใช่มากำกับดูแลอย่างเดียว อีกทั้ง อาจจะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรถตู้สาธาณะให้เข้าสู่ระบบสตาร์ทอัป ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และจะต้องมีระบบห่วงโซ่ความรับผิดชอบ ระหว่างผู้ประกอบการและผู้ขับรถตู้ทั้งวิน เช่น ถ้าเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงและบ่อยครั้งวินนั้นจะต้องหยุดให้บริการ เป็นต้น