เส้นทางแห่งสิงห์ทะเลทราย

ฝันที่เป็นจริง แต่ความจริงบนทะเลทรายนั้นยิ่งกว่าความฝัน เส้นทางของมานะ พรศิริเชิด นักแข่งรถผู้เคยฝ่าความหฤโหดที่แรลลี่ ดาการ์
ท่ามกลางบรรยากาศการแข่งขันที่เสียงคำรามของเครื่องยนต์และกลิ่นฉุนของน้ำมันคลุ้งอยู่ในอากาศค่อยๆ หลอมรวมกันเป็นความฝันให้เด็กผู้ชายคนหนึ่ง‘หนึ่ง’ มานะ พรศิริเชิด อยากเป็นนักแข่งเฉกเช่นเดียวกับพ่อของเขา
แต่คำตอบที่ได้กลับไม่เป็นดั่งใจที่เขาหวังไว้...
“พ่อของผมเป็นนักแข่งครับ ผมก็เลยได้ตามพ่อไปสนามตั้งแต่เล็กๆ นานวันเข้าก็อยากเป็นนักแข่งเหมือนพ่อบ้างแต่เขาไม่สนับสนุนไง เขาให้เราแข่งได้แค่รถโกคาร์ทมาตลอด ซึ่งพอแข่งสนามแรกก็ได้แชมป์เลย เราก็อยากขยับรุ่น อยากไปแข่งกับผู้ใหญ่บ้าง แต่ไม่ว่ายังไงพ่อก็ไม่ให้ จนวันหนึ่งผู้ใหญ่ที่พ่อนับถือเห็นเราขับแล้วเขาเห็นแววในตัวเราก็เลยไปคุยกับพ่อให้ครับ”
หนึ่งเริ่มต้นการเป็นนักแข่งเต็มตัวด้วยการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ แต่ไม่นาน รุ่นพี่ที่เคารพก็ชวนเขาไปเข้าทีมที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อแข่ง Rally โดยเฉพาะ และได้ขยับไปแข่งขันแบบ Cross Country ในเวลาต่อมา จนเมื่อบริษัทมิตซูบิชิได้ประกาศคัดเลือกนักแข่งหน้าใหม่ที่จะได้เข้าไปเรียนรู้การขับรถแข่งแบบตัวต่อตัวกับแชมป์จากดาการ์ ซึ่งเขาก็ไม่พลาดที่จะลงสมัคร
แน่นอนว่าเขาติด 1 ใน 10 คนสุดท้ายที่จะได้เข้าไปเรียนกับแชมป์ และเมื่อเรียนจบชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปตลอดกาล…
เมื่อความจริงยิ่งกว่าความฝัน
เขาเคยฝันถึงมันนะ แต่เมื่อตื่นขึ้นมาเขาพบว่ามันยิ่งกว่าความฝันเสียอีก...
2 เดือนหลังจากเรียนการขับรถจบ เขาได้รับโทรศัพท์จากบริษัทมิตซูบิชิว่าได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนหนึ่งเดียวของประเทศไทยที่ได้เข้าไปแข่งในรายการดาการ์
“ใครแกล้งเล่นหรือเปล่า?!” เขาคิดอย่างนั้นวนไปวนมา เพราะเมื่อเข้าไปเช็ครายชื่อก็ยังไม่พบชื่อของตัวเองเลย…
จนกระทั่งหนึ่งถูกเรียกไปซ้อมขับ แต่ขับได้เพียงไม่นานรถก็มีปัญหาเกิดขึ้นจึงทำให้เขากลัวว่าตัวเองจะต้องถูกส่งกลับประเทศไทยเนื่องจากทำผลงานได้ไม่ดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่เคยมีประสบการณ์การขับรถในทะเลทรายมาก่อนจึงแก้ปัญหาได้ไม่ดีนัก จนโค้ชต้องเข้ามาตบหลังเขาเบาๆ พร้อมกับยื่นน้ำให้แล้วบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ จากนั้นจึงสอนวิธีแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าเมื่อรถจมทรายให้ดู สำหรับเหตุผลที่โค้ชไม่สอนตั้งแต่แรกนั้นเพราะต้องการให้หนึ่งเจอปัญหาและรู้จักแก้ไขด้วยตัวเองเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยเรียนรู้วิธีที่ถูกต้อง
แรลลี่ ดาการ์ ตำนานสนามสุดหฤโหด
‘จงขับอย่างระมัดระวังและมีสติอยู่กับตัวเสมอ’ คือคำสอนของพ่อที่เขาจำใส่ใจทุกครั้งที่ลงสนาม ไม่เว้นแม้แต่ในขณะที่การแข่งรถอันยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว
ตลอดระยะเวลา 14 วันที่นักแข่งทุกคนต้องเอาตัวรอดกันเองท่ามกลางสมรภูมิที่โหดร้ายเกินจินตนาการ ไม่ว่าจะเป็นเนินทะเลทราย บ่อโคลน ทุ่งหญ้า ทุ่งหิน และหุบเขาสูงชัน นอกจากนี้ยังรวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากตัวรถอีกด้วยจนทำให้หนึ่งต้องจบการแข่งขันครั้งแรกของตัวเองลงเนื่องจากรถมีปัญหาเกี่ยวกับระบบคลัช
“ผมกับเน (เนวิเกเตอร์) ใช้เวลาซ่อมคลัชตอนนั้นเกือบ 6 ชั่วโมงครับถึงกลับมาวิ่งได้ พอมาวันที่ 6 ผู้จัดบอกว่าเราใช้เวลาเกินในชั่วโมงแรกจึงถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขันแล้ว แต่เนื่องจากเขาเพิ่งมาบอก ทีมงานเราเลยขอให้ผมได้วิ่งจนจบเพื่อเก็บประสบการณ์ เพราะมันเป็นปีแรกของเรา และตอนนั้นผมก็ถือว่าอายุน้อยมากด้วยครับ”
เมื่อผิดหวังจากการแข่งดาการ์ครั้งแรก จึงทำให้ปีต่อมาเข้าตั้งเป้าหมายว่าจะต้องจบรายการนี้ให้ได้ และเขาก็ทำได้จริงๆ โดยในปี ค.ศ. 2007 เขาจบที่อันดับ 68 จากผู้เข้าแข่งขันกว่า 300 คน ก่อนจะมาถึงการแข่งขันรายการดาการ์ครั้งสุดท้ายสำหรับเขาในปี ค.ศ. 2010 ที่ทำให้เขาเข้าใจคำว่า ‘หนาวตาย’ เป็นอย่างไร
“ปีนั้นเป็นปีแรกครับที่ย้ายการแข่งมาเริ่มกันที่ทวีปแอฟริกาและไปจบที่ทวีปอเมริกาใต้ ทำให้นักแข่งทุกคนไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน เราก็หวังไว้สูงพอสมควร เพราะภูมิประเทศค่อนข้างเหมือนประเทศไทยกว่าครั้งก่อน แต่อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ตอนนั้นรถผมโดนรถบรรทุกชนเข้าเลยทำให้เพลาหลังขาด ต้องขับรถด้วยการถอยหลังขึ้นเขาที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 4,500 เมตรได้ พอขึ้นไปก็หาเส้นทางไปต่อไม่ได้อีก ต้องจอดรถไว้แล้วลงมาเดินหาเส้นทางกัน แต่ยังไงก็ไม่เจอ พอฟ้าใกล้มืดก็เริ่มหนาวแล้ว ผมกับเนเลยไปเตรียมฟืนมาไว้ก่อกองไฟ เพราะมันหนาวมากก็ต้องผลัดกันนอน ผลัดกันเติมฟืน ยอมรับเลยว่าความรู้สึกตอนนั้นผมยอมแพ้แล้ว แค่รอถึงตอนเช้าให้ผู้จัดมาช่วยก็โอเคแล้วแหละ แต่พอปรากฏว่าเค้าประกาศยกเลิกสเตจนั้นครับ เราเหมือนคนตายแล้วเกิดใหม่เลย กลับมามีแรงอีกครั้ง ปีนั้นก็เลยจบที่ 60 กว่า ก่อนที่ทางบริษัทมิตซูบิชิจะประกาศไม่สนับสนุนการแข่งแรลลีครอสคันทรีทั่วโลก”
ก้าวต่อไปของสิงห์ทะเลทราย
หลังจากบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศญี่ปุ่น ประกาศถอนทีมออกจากการแข่งขันแรลลีครอสคันทรีทั่วโลก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยทำให้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัท มิตซูบิชิ ประเทศไทย
แต่หนึ่งก็ยังคงทำในสิ่งที่ตัวเองรักต่อไป เขาเข้าร่วมการแข่งขันมอเตอร์ไซค์วิบาก เป็นสิงห์นักบิดที่โดดเด่นในหลายสนาม และก่อตั้งทีมช่วยเหลือเพื่อนนักกีฬาเมื่อเกิดอุบัติเหตุในสนามอย่างมืออาชีพร่วมกับเพื่อนๆ ในชื่อ Prorace – Q เส้นทางของหนึ่ง มานะ จึงยังคงเต็มไปด้วยความวิบากแต่สนุกสนานท้าทาย เพราะเขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ




