“เทพรัชชี่” เทพนักวิ่งอัลตร้า-เทรลของไทย

“เทพรัชชี่” เทพนักวิ่งอัลตร้า-เทรลของไทย

ความทุกข์ไม่ได้มีแต่ด้านร้าย หลายครั้งก็ผลักดันคนไปสู่ก้าวใหม่ เมื่อรักทำร้าย มนุษย์คนหนึ่งก็กลายเป็น "เทพ" ได้เหมือนกัน

จุดกำเนิดของนักวิ่ง ไพรัช วราสินธุ์ หรือที่คนในวงการวิ่งเทรลเรียกกันว่า “เทพรัชชี่” ไม่ได้แรงบันดาลใจมาจากไหน แต่มาจากความเจ็บปวดขั้นสุด 

“ผมอกหักครับ เจ็บสุดๆ เพราะเวลาเราทำอะไรเราจะจริงจังกับมันมาก ความรักก็เหมือนกัน ตอนนั้นเคยตั้งคำถามกับตัวเองด้วยนะว่าเราอยู่ไปเพื่ออะไรวะ มันฟุ้งซ่านไปหมด เลยอยากหาอะไรทำเพื่อไม่ให้จมกับตรงนี้ ก็เลยตัดสินใจไปวิ่งที่สวนสาธารณะ จากนั้นก็วิ่งมาเรื่อยๆ ครับ ไม่ได้คิดว่าจะไปแข่งอะไรกับเขาหรอก จนวันหนึ่งรุ่นพี่ที่คณะสถาปัตย์มาชวนเข้าทีม เราก็เริ่มวิ่งแบบทำเวลา เริ่มซ้อมเพื่อลงแข่ง”

หลังจากวิ่งมาได้ 4 เดือนก็ถึงเวลาที่เขาต้องลงสู่สนามจริง “กรุงเทพมาราธอน” คือสนามแรกของเขาที่ต้องจดจำไปตลอดชีวิต เพราะสนามนี้ คือจุดกำเนิดของทีม “อุนจิรันเนอร์”

“วิ่งมาราธอนครั้งแรกจบที่ประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่งครับ โดนรุ่นพี่แกล้งด้วย เค้าเอาเจลหมดอายุให้กินเลยท้องเสีย ฮ่าๆ แล้วจากเหตุการณ์นี้ก็เลยเป็นที่มาของชื่อกลุ่มอุนจิรันเนอร์ครับ ช่วงนั้นมีสมาชิก 3 คนคือผม รุ่นพี่คนนั้น และคณบดีคณะสถาปัตย์”

รัชชี่หรือรัช นักวิ่งแห่งทีมอุนจิรันเนอร์ลงสนามจนความท้าทายและความสนุกในการวิ่งบนถนนเริ่มหมดไป บวกกับการที่รัชเองเป็นคนชอบเดินป่าอยู่แล้ว การวิ่งเทรลจึงไปสิ่งที่เขาถวิลหามาโดยตลอด เมื่อเจอเป้าหมายแล้ว เขาก็ไม่รีรอที่จะลง “โคลัมเบีย เขาไม้แก้ว” เป็นสนามเทรลแรก แต่ปัญหาที่ตามมาคือ “การฝึกซ้อม” เพราะการวิ่งเทรลต่างจากการวิ่งมาราธอนทั่วไปที่วิ่งตามถนนหรือทางเรียบๆ แต่การวิ่งเทรลคือการวิ่งในป่าและวิ่งขึ้นเขา

เนื่องจากไม่สามารถซ้อมวิ่งเทรลในพื้นที่จริงได้มากเท่าที่ควร เพราะภูมิประเทศที่จันทบุรีบ้านของรัชมีภูเขาที่สามารถไปซ้อมได้น้อยมากหรือแทบไม่มีเลย ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้คือต้องพยายามจำลองการซ้อมให้เหมือนการแข่งจริงมากที่สุด จึงเป็นเรื่องยากเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าความพยายามของเขา...

“ตอนนั้นใช้วิธีวิ่งขึ้นลงบันไดแทนครับ ดีตรงที่บ้านเราเป็นตึกห้าชั้นก็วิ่งขึ้นลงอยู่อย่างนั้นแหละ อีกวิธีคือทำลู่วิ่งให้ชันขึ้นเหมือนกับการวิ่งขึ้นเขาครับ”

ความสวยงามของการวิ่ง

ทุก 1 – 2 ชั่วโมงหลังการทำงานคือเวลาซ้อมของเขา และถ้าวันไหนจะถึงการแข่ง รัชต้องขอให้ที่บ้านช่วยทำงานแทนในส่วนที่ตัวเองไปซ้อมตั้งแต่เช้า จึงทำให้บางครั้งเขาถูกครอบครัวตั้งคำถามเหมือนกันว่า ‘เขาทุ่มเทกับการวิ่งมากเกินไปหรือเปล่า’ ทำไมไม่เอาเวลาตรงนั้นมาลงกับงาน...

แต่เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่เขาทำก็เห็นผล ครอบครัวรู้แล้วว่าเขาไม่ได้วิ่งเล่นๆ เขาเริ่มได้รางวัลกลับมา และได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งคนในครอบครัวเริ่มสนใจการวิ่ง พวกเขาวิ่งด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน มีความสุขด้วยกัน และไปเป็นกำลังใจรวมถึงเป็นทีมสนับสนุนเมื่อเขาต้องไปแข่งตามงานใหญ่ๆ ที่ต่างประเทศอย่าง UTMB® (Ultra-Trail du Mont-Blanc) ระยะทาง 166 กิโลเมตร หรือ 103 ไมล์ สนามที่นักวิ่งอัลตร้า-เทรลทั่วโลกใฝ่ฝัน

“บรรยากาศของสนามนี้คือสุดยอดแล้วครับ สมกับเป็นสนามในตำนาน เราวิ่งจากประเทศฝรั่งเศสไปที่อิตาลี ต่อด้วยสวิสและวนกลับมาที่ฝรั่งเศสอีกที ตลอดสองข้างทางก็จะเต็มไปด้วยชาวเมืองที่ออกมาให้กำลังใจกันมากมาย ตี 1 ตี 2 ยังออกมาเชียร์กัน ผมว่ามันคือความสุขที่แท้จริงของนักวิ่งแล้ว มันเหมือนเทศกาลรวมคนที่รักอะไรมากๆ มาอยู่ด้วยกันเหมือนกับว่าเราสนิทกัน ทั้งๆ ที่บางคนไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ แต่ระยะทางกว่า 169 กิโลเมตร มันไกลมากนะครับ บางครั้งมันเหนื่อยแล้วก็ท้ออย่างแสนสาหัสเลยล่ะ ดังนั้นกำลังใจจากคนที่เรารักจึงสำคัญมากๆ เพราะเวลาเราวิ่งเหนื่อยๆ มันจะมีความคิดด้านลบเข้ามาตลอด แต่พอคิดถึงคนที่รออยู่จุดพัก เขาคือคนที่ต้องเสียสละเวลาเที่ยวเพื่อมาดูแลเรา เอาอาหารมาให้เรา เตรียมของมาให้เรา คอยเปลี่ยนรองเท้าให้เรา มันเลยเหมือนมีพลังพุ่งเข้ามาในตัวเรา ทำให้เราอยากไปถึงตรงนั้นเร็วๆ และเวลาเราวิ่งจบไม่ใช่แค่เราที่มีความสุข เขาก็มีความสุขกับเราด้วยเหมือนกัน”

จากจำนวนนักวิ่งระดับพระกาฬหลายพันคนจากทั่วโลก รัชสามารถเข้าเส้นชัยได้เป็น 1 ใน 100 คนแรก ซึ่งเขาบอกว่าครอบครัวมีส่วนช่วยถึง 80 เปอร์เซ็นต์ และสนามที่แสดงให้เห็นถึงอีกหนึ่งความสวยงามของมิตรภาพแห่งทีมเวิร์คคือ งาน OXFAM ที่จัดขึ้นที่ฮ่องกง โดยงานนี้ผู้วิ่งทั้งหมดจะต้องวิ่งเป็นทีม ทีมละ 4 คน ซึ่งทีมของเขาก็จบอันดับที่ 21 จากนักวิ่งกว่า 5,000 คน ซึ่งกว่าจะถึงเส้นชัยนั้นรัชบอกกับเราว่ามันต่างจากการวิ่งคนเดียวมาก เพราะการวิ่งคนเดียวไม่ต้องเอาพลังไปแบ่งกับใคร แต่การวิ่งเป็นทีมนั้นถ้าเพื่อนหมดแรงเราก็ต้องสละแรงของเราเพื่อไปช่วยให้เขาเข้าเส้นชัยไปด้วยกันให้ได้ อย่างที่ผ่านมาก็มีการใช้เชือกลากวิ่งข้ามภูเขากันเสียตั้งหลายลูก...         

คุณค่าของการมีชีวิต

2 – 3 ปีที่แล้ว เขาคือคนที่เคยท้อแท้ในชีวิตจนไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม แต่มาวันนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองจะอยู่ไปทำไม ลมหายใจของเขากลับมามีคุณค่าอีกครั้ง ไม่สิ มากกว่าเดิมเสียอีก เพราะเขากลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรอบตัวหลายคนเริ่มออกวิ่ง รวมถึงคนที่ไม่รู้จักกันก็ยังมีเขาเป็นไอดอลในการวิ่งอีกด้วย

ถ้าวันหนึ่งคุณไม่สามารถวิ่งได้จะทำอย่างไร... เราโยนคำถามสุดท้าย

เคยคิดไว้เหมือนกันนะ ก็คงจะนำความรู้และประสบการณ์ที่เรามีไปแบ่งปันให้กับคนอื่นต่อไป แต่คงไม่มีวันนั้นหรอกครับ เพราะถึงขาขาดก็ยังสามารถใส่ขาเทียมวิ่งได้ หรือถ้าใส่ขาเทียมไม่ได้ก็ยังมีวีลแชร์ คิดว่ายังไงๆ ชีวิตนี้ก็จะไม่เลิกวิ่งแน่นอน”

เครดิตภาพ: เฟซบุ๊ค แฟนเพจ: Phairat Varasin