สมรภูมิ นอร์ธลอนดอน อาร์เซนอล vs สเปอร์ส

สมรภูมิ นอร์ธลอนดอน อาร์เซนอล vs สเปอร์ส

ในสุดสัปดาห์นี้ ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก คงไม่มีเกมไหนจะเป็นที่จับจ้องมากไปกว่า

 การพบกันของสองทีมชั้นนำจากนอร์ธลอนดอน ระหว่าง อาร์เซนอล กับ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ที่สนาม เอมิเรตส์ สเตเดียม ของฝ่ายแรกอีกแล้ว

เมื่อต่างฝ่ายต่างก็กำลังบินสูงอยู่ในกลุ่มนำของตารางพรีเมียร์ลีกอยู่ในเวลานี้ และที่สำคัญ นี่คือหนึ่งในดาร์บีแมตช์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง และดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษด้วย

ก่อกำเนิด

ทั้งคู่ถือเป็น 2 สโมสรเก่าแก่ของอังกฤษ สเปอร์ส ก่อตั้งขึ้นก่อนในปี 1882 ภายใต้ชื่อ “ฮ็อตสเปอร์ เอฟซี” ขณะที่ อาร์เซนอล มีชื่อดั้งเดิมว่า “ไดอัล สแควร์” ก่อตั้งขึ้น เมื่อ 1 ธ.ค. 1886 และเปลี่ยนเป็น “รอยัล อาร์เซนอล” ในเวลาถัดมา โดยเป็นสโมสรแรกจากทางตอนใต้ ที่เข้าร่วมในฟุตบอลลีก เมื่อปี 1893 ขณะที่ สเปอร์ส ย้ายตามมาจาก เซาเธิร์นลีก ใน 15 ปีให้หลัง

การพบกันครั้งแรก ระหว่างทั้งสองทีมเป็นนัดกระชับมิตร ในเดือนพ.ย. 1887 และต้องยุติการแข่งขันก่อนหมดเวลา 15 นาที เนื่องจากแสงสว่างไม่พอ ขณะ สเปอร์ส เป็นฝ่ายนำ 2-1 ขณะที่เกมอย่างเป็นทางการในฟุตบอลลีกนั้น มีขึ้นเมื่อ 4 ธ.ค. 1909 โดยเป็น อาร์เซนอล ที่ชนะไป 1-0

อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่ถือเป็นเกม นอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี เนื่องจากที่ตั้งของ “รอยัล อาร์เซนอล” ในเวลานั้น อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน

ปมขัดแย้ง

กระทั่งในปี 1913 เมื่อ อาร์เซนอล ย้ายจาก เมเนอร์ กราวด์ ในย่านพลัมสตีด มายัง อาร์เซนอล สเตเดียม ในไฮบิวรี หรือห่างจาก ไวท์ ฮาร์ท เลน สังเวียนเหย้าของ สเปอร์ส เพียง 4 ไมล์ จุดเริ่มต้นในความขัดแย้งระหว่างสองสโมสรจึงเริ่มก่อตัวขึ้น

“นอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี” หนแรก เกิดขึ้นในฐานะแมตช์กระชับมิตร เพื่อกองทุนช่วยเหลือทหารผ่านศึก ในเดือนส.ค. ปีถัดมา และจบลงด้วยชัยชนะ 5-1 ของ อาร์เซนอล ซึ่งขณะนั้นอยู่ในดิวิชั่น 2 ขณะที่ ท็อตแนม อยู่ในลีกสูงสุด

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง และฟุตบอลลีกอังกฤษเตรียมกลับมาแข่งขันอีกครั้ง ดิวิชั่น 1 ประกาศแผนการเพิ่มจำนวนทีมจาก 20 เป็น 22 ทีมในฤดูกาล 1919-1920 และจัดประชุมสโมสรขึ้นที่ แมนเชสเตอร์ เพื่อโหวตคัดเลือกสองทีมที่จะได้สิทธิ์ดังกล่าว

ดาร์บี และ เพรสตัน ทีมอันดับ 1 และ 2 ของดิวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1914-15 (ก่อนพักการแข่งขันเพราะสงครามโลกครั้งที่ 1) ได้สิทธิ์เลื่อนชั้นตามปกติ ขณะที่ เชลซี ทีมอันดับ 19 ของดิวิชั่น 1 ในฤดูกาลนั้นที่ควรจะตกชั้น ก็ได้สิทธิ์เล่นในลีกสูงสุดต่อ

อย่างไรก็ตาม เมื่อการพิจารณามาถึง สเปอร์ส ทีมอันดับ 20 ของดิวิชั่น 1 ซึ่งควรจะได้สิทธิ์เดียวกัน เฮนรี นอร์ริส ประธานสโมสรอาร์เซนอล ทีมอันดับ 5 ในดิวิชั่น 2 ก็ตัดสินใจเสนอชื่อสโมสรของตนว่าเหมาะกับการเล่นในดิวิชั่น 1 มากกว่า ทั้ง สเปอร์ส ที่ตกชั้น หรือ บาร์นสลีย์ และ วูล์ฟส์ ที่มีอันดับเหนือกว่า พร้อมเสนอให้มีการโหวตเพื่อตัดสิน

หนังสือพิมพ์เดลี มิร์เรอร์ บันทึกไว้ว่าข้อเสนอดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจาก จอห์น แม็คเคนนา เจ้าของสโมสรลิเวอร์พูล และประธานฟุตบอลลีก ซึ่งสนิทสนมกับ นอร์ริส

ผลการโหวตจบลงที่ อาร์เซนอล ได้รับเสียงโหวต 18 เสียง ท็อตแนม 8, บาร์นสลีย์ และ วูล์ฟส์ ทีมละ 5, เบอร์มิงแฮม 2 และ ฮัลล์ 1 ส่งผลให้ทีมของ นอร์ริส ได้เป็น 1 ใน 22 ทีมดิวิชั่น1 ฤดูกาล 1919-20 และไม่เคยตกจากลีกสูงสุดอีกเลย

เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างสองทีมจากนอร์ธลอนดอน ที่ไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมนับจากวันนั้น...

เลือดข้น

ด้วยความที่มหานครลอนดอนเป็นแหล่งรวมของคนจากหลากหลายเชื้อชาติ ฐานแฟนบอลของทั้ง สเปอร์ส และ อาร์เซนอลจึงผสมผสานของคนที่แตกต่างทั้งเชื้อชาติและวัฒนธรรม

ผลการสำรวจในปี 2002 พบว่าฐานแฟนบอล “กูนเนอร์ส” (แผลงมาจาก กันเนอร์ส เพราะที่ตั้งสโมสรแห่งแรก เป็นโรงงานสรรพาวุธ) ในสหราชอาณาจักร ที่ไม่ใช่คนผิวขาว มีมากถึง 7.7% ซึ่งถือว่ามากที่สุดในลีกในเวลานั้น

ขณะที่ “ยิดส์” หรือ “ยิด อาร์มี” ของ สเปอร์ส ก็มีที่มาจากความภาคภูมิใจในแหล่งชุมชนชาวยิวขนาดใหญ่ ในย่านที่ตั้งของสนาม ไวท์ ฮาร์ท เลน นั่นเอง

จูดาส

แม้จะมีความขัดแย้งกัน แต่หลายครั้งที่ 2 สโมสรเซ็นสัญญาซื้อผู้เล่นอีกฝ่ายมาร่วมทีม ทั้งโดยตรงและทางอ้อม แต่คงไม่มีครั้งไหนที่จะสร้างความเกลียดชัง ระหว่างสองทีมมากไปกว่ากรณีของ โซล แคมป์เบลล์ ในปี 2001 อีกแล้ว

อดีตเซนเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติอังกฤษ เติบโตขึ้นมาจากทีมเยาวชนของ สเปอร์ส และก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสร ในยุคของ เทอร์รี เวนาเบิลส์ ก่อนยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมได้สำเร็จ และได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่กัปตันทีมในยุคของ เจอร์รี ฟรานซิส

แคมป์เบลล์ เป็นกัปตันทีมผิวสีคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้ชูถ้วยแชมป์ที่สนาม เวมบลีย์ หลังนำ สเปอร์ส ในยุค จอร์จ เกรแฮม ชนะ เลสเตอร์ ซิตี ในนัดชิงชนะเลิศ ลีกคัพ 1999 รวมถึงเคยให้สัมภาษณ์ในนิตยสารของสโมสรว่า “จะไม่มีวันย้ายไปเล่นให้ อาร์เซนอล”

แต่หลังสัญญากับ สเปอร์ส หมดลงในปี 2001 เจ้าตัวปฏิเสธที่จะต่อสัญญาฉบับใหม่ แม้จะมีสิทธิ์เป็นผู้เล่นที่รับค่าเหนื่อยสูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสร และเลือกย้ายไปเป็นสมาชิกใหม่ของอริตลอดกาลแบบไม่มีค่าตัว

กับ อาร์เซนอล แคมป์เบลล์ ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย เอฟเอ คัพ 3 สมัย แต่ในสายตาของแฟนบอลไก่เดือยทอง เจ้าตัวคือคนทรยศอันดับหนึ่งตลอดกาล

ชิงดีชิงเด่น

จากอดีตจนถึงปัจจุบัน อาร์เซนอล ยังเป็นทีมที่เหนือกว่า สเปอร์ส ในหลายๆด้าน ทั้งภาพรวมผลงานการเจอกัน รวมถึงความสำเร็จในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงสองทศวรรษหลังสุดที่ อาร์แซน เวนเกอร์ เข้ามาคุมทีมปืนใหญ่

อย่างไรก็ตาม นับแต่กลุ่ม เอนิค อินเตอร์เนชันแนล เข้ามาถือหุ้นของ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ในปี 2001 สถานะของ “ไก่เดือยทอง” ก็เริ่มเติบโตขึ้นเรื่อย ทั้งทางการเงินและผลงานในสนาม จนสามารถผ่านเข้าไปเล่นใน ยูฟา แชมเปียนส์ลีก ได้สำเร็จ และมีลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัวเมื่อฤดูกาลก่อน และถูกยกให้เป็นตัวเต็งในปีนี้เช่นกัน

นั่นหมายความว่า นอกจากศักดิ์ศรีและความบาดหมางที่มีมานานแล้ว เดิมพัน 3 คะแนน เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในฤดูกาลนี้ ก็จะยิ่งทำให้ นอร์ธลอนดอนดาร์บีครั้งนี้ ดุเดือดในระดับสมรภูมิอีกหลายเท่าตัว