ปิดคดี'อาหลิว'ยาวนาน16 ปี ศาลสั่งจำคุก'เสี่ยตุ้ม'พร้อมพวก

ปิดคดี'อาหลิว'ยาวนาน16 ปี ศาลสั่งจำคุก'เสี่ยตุ้ม'พร้อมพวก

ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ตัดสินคดี “อาหลิว” ผู้ต้องหายักยอกเงินจากธนาคารกลางจีนกว่า 2,000 ล้านบาท สั่งจำคุก "เสี่ยตุ้ม" พร้อมพวกอีก 2 คน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการนัดอ่านคดีดำ เลขที่5868/2543 ฐานความผิดต่อเจ้าพนักงานคดีเจ้าหน้าที่รัฐพัวพันปลอมแปลงบัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนราษฎร์ให้ “อาหลิว” หรือ เฉิน หมั่น ซุง ผู้ต้องหายักยอกเงินจากธนาคารกลางจีนกว่า 2,000 ล้านบาท

โดยในวันนี้ได้มีการนัดอ่านคำตัดสินในห้องพิจารณาคดีที่ 13 ซึ่งโจทก์คือพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ ได้นื่นฟ้องต่อจำเลยมีจำนวน 7 คน ประกอบด้วยจำเลยที่ 1 นายพูลสวัสดิ์ วรวัลย์ หรือ”เสี่ยตุ้ม” อดีตเทศมนตรีฝ่ายงานช่าง เทศบาลนครนครเชียงใหม่, จำเลยที่ 2 นายพิทักษ์ ตันติศักดิ์ หรือ”เสี่ยหมี” อดีต สท. นครเชียงใหม่ จำเลยที่ 3 นายจรัส ณรงค์จันทร์ชัย อดีต สท.นครเชียงใหม่, จำเลยที่ 4 นายสุรชัย จันทร์เป็ง , จำเลยที่ 5 นายบุญยัง ปัญจศีล, จำเลยที่ 6 นายสิงห์ทร เกสร และจำเลยที่ 7 นายประสิทธิ์ เจียมจิต

ทั้งนี้เมื่อถึงเวลานัดหมาย ผู้ต้องหาทั้งหมด ได้เดินทางมาที่ศาลเพื่อรอฟังการพิจารณาคดี เว้นแต่นายบุญยัง ปัญจศีล จำเลยที่ 5 ไม่ได้เดินทางมา เนื่องด้วยสภาพร่างกายไม่แข็งแรง แต่ได้มีการมอบหมายให้ทนายมายื่นร้องต่อศาล เนื่องจากนายบุญยัง มีอายุที่มาก และไม่สามารถเดินได้ จึงไม่สามารถเดินทางมารับฟังการพิจารณาคดีในครั้งนี้ได้ ซึ่งทางศาลได้มีการพิเคราะห์แล้ว จึงมีมติให้อ่านคำพิพากษาลับหลัง ซึ่งศาลฎีกาได้มีคำสั่ง ให้จำคุก จำเลยที่ 1 คือ นายพูลสวัสดิ์ วรวัลย์ หรือ”เสี่ยตุ้ม" กำหนดจำคุก 4 ปี จำเลยที่ 2 คือ นายพิทักษ์ ตันติศักดิ์ หรือเสี่ยหมี กำหนดจำคุก 3 ปี และจำเลยที่ คือ 7 นายประสิทธิ์ เจียมจิต กำหนดจำคุก 5 ปี ส่วนจำเลยที่ 3, 4, 5 และ 6 ศาลได้ทำการยกฟ้อง

ภายหลังจากที่ศาลได้มีการอ่านคำตัดสินเสร็จสิ้น ทางเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวผู้ต้องหาทั้งสามคนไปยังห้องฝากขังชั่วคราวภายในศาล โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยญาติของผู้ต้องหาที่ได้นำสิ่งของเครื่องใช้มาให้ มีเจ้าหน้าที่คุมเข้มอย่างแน่นหนา ทั้งนี้ในเวลา 17.00 น. วันนี้ ทางเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์จะได้มารับตัวผู้ต่องหาทั้งหมด เพื่อนำไปส่งยังเรือนจำกลาง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ต่อไป

สำหรับการตัดสินคดีนี้ สืบเนื่องจากเมื่อปี 2543 ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเชียงใหม่ ได้รับการประสานจากทางการของสาธารณรัฐประชาชนจีน และองค์กรตำรวจสากล ให้จับกุมตัวนาย“อาหลิว” หรือเฉิน หมั่น ซุง สัญชาติจีน ซึ่งเป็นอาชญากรข้ามชาติยักยอกเงินธนาคารกลางจีนกว่า 400 ล้านหยวน หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท แล้วหลบหนีมาอาศัยอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และได้มีการปลอมแปลงบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนราษฎร์และจ้างวานเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ได้มาซึ่งเอกสารของทางราชการอย่างผิดกฏหมาย 

โดยพฤติการณ์ของคดีนั้น นายอาหลิวนั้น ได้หลบหนีเข้าประเทศไทยทางช่องทาง จ.เชียงราย เมื่อปี 2538 และได้ตีสนิทกับนักการเมืองท้องถิ่น ไปจนถึงนักการเมืองระดับชาติในสมัยนั้น จนสามารถทำบัตรประชาชนไทย 2 ใบ โดยใช้ชื่อ“สุก ตาจง” และ “เลา แสนซุ้ง” ก่อนจะทำการผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้าใหม่เพื่อปิดบังตัวตนที่แท้จริง 

กระทั่งต่อมา อาหลิวถูกจับกุมได้ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 และในวันที่ 17 พ.ย.2543 ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาในข้อหาหลบหนีเข้าเมือง ปลอมแปลงบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนราษฎร์และจ้างวานเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ได้มาซึ่งเอกสารของทางราชการ รวมทั้งสิ้น 29 กระทงเหลือจำคุก 13 ปี 10 เดือน ก่อนที่ทางการจีนจะรอรับตัวไปดำเนินคดีตามกฏหมายต่อที่สาธารณรัฐจีน

ขณะที่ขั้นตอนการทำบัตรประชาชนนั้น พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับนักการเมืองท้องถิ่นจำนวนมาก โดยนายอาหลิว ได้ใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อบัตรประชาชน และทะเบียนราษฐ์มาเป็นของตนเอง จนมีการขยายผลการจับกุมจับกุมข้าราชการ และนักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่หลายคน และต่อมาวันที่ 23 พ.ค.2550 ศาลเชียงใหม่พิพากษาจำคุกนักการเมืองท้องถิ่น ผู้ใหญ่บ้าน และนักธุรกิจใน จ.เชียงใหม่ จ.นครสวรรค์ และกทม.ขั้นหนักฐานร่วมกันปลอมแปลงออกบัตรประชาชนให้ “อาหลิว” โดยนายพูนสวัสดิ์ วรวัลย์ ศาลอุธรณ์ให้ตัดสินจำคุก 4 ปี ส่วนนายพิทักษ์ ตันติศักดิ์ ให้จำคุก 5 ปี และนายประสิทธิ์ เจียมจิต ศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ส่วนผู้ต้องหาคนอื่นๆยกฟ้อง โดยคดีนี้ได้มีการยื่นอุธรณ์ต่อศาลฏีกา 2 ครั้ง จนมีการพิจารณาที่จะตัดสินในวันนี้ รวมอายุคดียาวนานกว่า 16 ปี