ตำรวจแจ้ง 4 ข้อหาเจ้าของเรือมรณะ

ตำรวจแจ้ง 4 ข้อหาเจ้าของเรือมรณะ

ตำรวจแจ้ง 4 ข้อหาเรือมรณะ ด้านเจ้าอาวาสวัดสนามไชยยันท่าน้ำสร้างนานกว่า 15 ปี ใช้ป้องกันตลิ่ง ชี้เจ้าท่าอย่าโยนความผิดให้วัด

จากกรณีเรือท่องเที่ยวสองชั้นชื่อสมบัติมงคลชัย รับชาวไทยมุสลิมจาก ต.ภูเขาทอง อ.พระนครศรีอยุธยา ไปร่วมประกอบพิธีทางวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มัสยิดตะเกี่ย ต.สำเภาล่ม อ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 18 ก.ย.และขากลับขณะจะไปส่งผู้ที่มาร่วมพิธีได้เกิดชนกับแนวชะโงกริมเขื่อนหน้าวัดสนามไชย อ.พระนครศรีอยุธยา เป็นเหตุให้เรือล่มและมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 28 ราย บาดเจ็บกว่า 56 ราย ซึ่งหลังจากค้นหาศพสุดท้ายจบสิ้นเมื่อวันที่ 20 ก.ย. ได้นำเรือที่ล่มไปจอดเอาไว้ที่คานเรือศรีเจริญ ม.4 ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานทำการตรวจสอบ ซึ่งทางด้านนายณัฐ จับใจ รองอธิบดีกรมเจ้าท่าให้มีการตรวจสอบเรื่องการสร้างเขื่อนหน้าวัดสนามไชย และความสมบูรณ์ของเรือ ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 22 ก.ย. พ.อ.ท.พิมุข นาคขำพันธ์ สว.งานสอบสวน พร้อมด้วย ร.ต.ท.พงศกร อินทร์หอม พนักงานสอบสวนได้เดินทางไปที่วัดสนามไชย เพื่อทำการหาข้อมูลเกี่ยวกับแนวเขื่อนหน้าวัดสนามชัย โดยมีการวัดความกว้าของเขื่อนซึ่งอยู่ที่ประมาณ 120 เมตร และวัดระยะความห่างของแนวเขื่อนกับบริเวณที่ยื่นออกไปในแม่น้ำ ซึ่งพบว่ามีท่าน้ำที่สร้างยื่นออกไปจากแนวเขื่อน 3 ช่วง แต่ละช่วงมีความกว้างประมาณ 3 เมตร แต่มีเพียงช่วงเดียวที่มีการสร้างราวเหล็กขึ้นมาจากพื้นท่าน้ำ โดยระดับน้ำยังคงสูงทำให้เห็นราวเหล็กโผล่ขึ้นมาจากน้ำเพียง 1 ฟุตเท่านั้น ส่วนแนวระเบียงช่วงอื่นๆน้ำท่วมลึกอยู่กว่า 1 เมตรไม่สามารถมองเห็นได้

จากนั้น พ.ต.ท.พิมุข ได้เข้าไปพบกับพระครูปลัดสมบัติ ศิริสุวรรโณ เจ้าอาวาสวัดสนามไชยซึ่งอยู่ภายในพระอุโบสถ เพื่อขอทราบที่มาที่ไปของการสร้างเขื่อน โดยขอเอกสารที่ดินของวัดและการก่อสร้าง ซึ่งทางวัดแจ้งว่าไม่มีเอกสารเรื่องของการสร้างเขื่อน เนื่องจากสร้างมานานกว่า 15 ปีก่อนที่พระครูปลัดศิริสุวรรโณ จะมารับตำแหน่ง ซึ่งเพิ่งมารับตำแหน่งได้เพียง 1 ปี 6 เดือนเท่านั้น จนท.จึงขอเชิญเจ้าอาวาสไปให้ปากคำสอบสวนในฐานะพยานในเรื่องของเขื่อนดังกล่าว

พระครูปลัดสมบัติ เปิดเผยว่า ตนเพิ่งมารับหน้าที่ได้เพียงปีครึ่งไม่ทราบเรื่องการสร้างเขื่อน ทราบเพียงว่าเขื่อนนี้สร้างมานานกว่า 15 ปี เพื่อป้องกันการปะทะแนวเขื่อน หรือการพังทลาย และยังเป็นจุดที่ประชาชนใช้ลงไปให้อาหารปลาและเทียบเรือได้ในบางครั้ง ซึ่งตั้งใจจะทำราวกันคนตกลงไปในน้ำ แต่ไม่มีงบประมาณจึงสร้างไว้ได้เพียงช่วงเดียว ยังคงเหลืออีกสองช่วง ส่วนการอนุญาตก่อสร้างนั้นเชื่อว่าคงอนุญาตถูกต้อง ไม่เช่นนั้นเจ้าท่าก็คงจะมาสั่งรื้อไปนานแล้ว ไม่ปล่อยมาจนทุกวันนี้ ซึ่งในวันเกิดเหตุเชื่อว่าคนขับไม่ชำนาญร่องน้ำ และไม่ทราบว่าบริเวณดังกล่าวมีระเบียบยื่นออกไป ซึ่งตั้งแต่สร้างมาก็ยังไม่เคยมีเรือชน เพิ่งมีครั้งนี้ซึ่งเรือวิ่งเข้ามาใกล้เขื่อนมาก จนชนระเบียงดังกล่าว หากมองว่าวัดสร้างแล้วทำให้เรือเข้ามาชนคงไม่ใช่ และหากจะให้รื้อถอนอีกก็คงไม่ถูกเพราะยังมีท่าน้ำที่ใหญ่กว่าของวัดสนามไชยอีกมากมาย รวมถึงเรื่องการวางแนวทุ่นบอกจุดเสี่ยงนั้นก็เป็นหน้าที่ของเจ้าท่า ซึ่งหลังเกิดเหตุได้มีการมาวางแนวทุ่นแล้ว

ต่อมาเวลา 12.00 น.วันเดียวกันนายสุนทร พันธ์เสือทอง เจ้าของเรือได้เข้าพบพนักงานสอบสวน โดยมีทนายความเดินทางมาด้วย เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา โดยมีพล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.อ.เอกราช อุ่นเจริญ ผกก.งานสอบสวน สภ.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.ท.ธนัช แสงอรุณพนักงานสอบสวน ร่วมสอบปากคำ พร้อมทั้งแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ

คือ1.ร่วมกันใช้ยานพาหนะรับจ้างขนส่งโดยสารเมื่อยานพาหนะนั้นมีลักษณะหรือการบรรทุกนั้นจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในยานพาหนะเป็นเหตุให้บุคคลอืนถึงแก่ความตาย อันเป็นความผิดมาตรา 233 และ 238 ประกอบกับมาตรา 59 วรรคสอง มาตรา 83

2.ร่วมกันใช้ยานพาหนะผิดเงื่อนไข หรือข้อกำหนดในใบอนุญาตใช้เรือ

3.ร่วมกันใช้เรือยนต์บรรทุกผู้โดยสารมากกว่าจำนวนที่แจ้งในใบอนุญาต สำหรับเรือลำนั้น

4.ร่วมกันควบคุมเรือยนต์ อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 155 อันเป็นความผิดมาตรา 155 175 161 ทวิ ตามพระราชบัญญัติการเดินเรือน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 ประกอบกับกฎหมายอาญามาตรา 59 วรรคสอง มาตรา 83

ซึ่งนายสุนทรให้การปฎิเสธ ซึ่งทางจนท.จะได้ส่งตัวให้ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาตามขั้นตอน เพื่อขอประกันตัว โดยนายสุนทร กล่าวว่าไม่คิดว่าจะกิดเหตุการณ์นี้ ตนมีเรือเพียงลำเดียวเท่านั้น และไม่มีประกันเรือ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ทำเรื่องขอต่อใบอนุญาตเรียบร้อยแล้ว ส่วนลุงที่ขับเรือได้รับค่าจ้างเพียง 500 บาทเท่านั้น ซึ่งน่าเห็นใจอย่างมาก