เปิดปฏิบัติการ 'Black Eagle' รวบแก๊งคนดำหลอก บ.สิงคโปร์

บช.ก.เปิดปฏิบัติการ “Black Eagle” รวบแก๊งคนดำหลอก Email Scam บริษัทสัญชาติสิงคโปร์ สูญเงิน 9 ล้าน
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) - เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 3 สิงหาคม 2559 พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.กรเอก เพชรไชยเวช พล.ต.ต.อภิชาติ ศิริสิทธิ์ รอง ผบช.ก. , พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี รอง ผบช.ก. รรท. ผบก.ป., พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย ผบก.ปอท., พ.ต.อ.สมพร แดงดี รอง ผบก.ปอท.และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป. บกทท.และบก.ปอท. แถลงผลกรณีตำรวจสอบสวนกลางเปิดปฏิบัติการ "Black Eagle" กวาดล้างกลุ่มมิจฉาชีพชาวแอฟริกัน ซึ่งเป็นการสนธิกำลังตำรวจจาก บก.ปอท.,บก.ทท.
และ บก.ป.เข้าทำการตรวจค้นแหล่งกบดานผู้ต้องหา 7 จุด ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 4 ราย ได้แก่ 1.นายแดดดู มาซิมังด์ คินซิ (Mr.Daddu Masimangd Kinzdnzi) สัญชาติคองโก อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 3075/2558 ลง 27 พ.ค.58 ข้อหา "ร่วมกันเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ (แฮ็ก) ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น,นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ในประการที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ"
2.น.ส.กรรัตน์ จันทะนาม อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ในข้อหา "ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น,นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ในประการที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน” 3.นางเพ็ญประภา นิลฉาย อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ในข้อหา "ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น,นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ในประการที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน” และ 4.น.ส.ธวัลรัตน์ คำนิล อายุ 21 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ในข้อหา "ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น,นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ในประการที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน" พร้อมของกลางเป็น คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ค โทรศัพท์มือถือ และอื่นๆ รวม 87 รายการ
หนังสือเดินทาง 2 เล่ม บัตรเอทีเอ็ม 21 ใบ สมุดบัญชีธนาคาร 30 เล่ม คอมพิวเตอร์โน็ตบุ๊ค 5 เครื่อง แท็บเล็ต 1 เครื่อง โดยจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่ ซอยประชาชื่น 29 แขวง และเขตจตุจักร ,ซอยงามวงวาน 23 อ.เมืองนทบุรี, ถ.รามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกระปิ,ซอยลาดพร้าว 85 แขวงวังทองหลาง เขตลาดพร้าว และ ถ.เพชรเกษม 52 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กทม.
พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวว่า สำหรับพฤติกรรมแห่งคดีนั้น บริษัท โด เอเซีย ประเทศสิงค์โปร์ ผู้เสียหาย ได้มาร้องทุกข์กับตำรวจว่า ได้สั่งซื้อสินค้าจากบริษัท เอ็มที ที่ประเทศเวียดนาม ปรากฏว่า เมื่อเดือน ก.พ. 2559 ได้มีกลุ่มคนร้ายปลอมอีเมล์ของบริษัทผู้ขาย แสดงตัวเป็นบริษัทผู้ขาย หลอกลวงให้ผู้เสียหายว่า เปลี่ยนเลขบัญชีรับโอนเงินชำระค่าสินค้าและหลอกให้โอนเงินประมาณ 9 ล้านบาท ไปยังบัญชีของกลุ่มคนร้ายอันเป็นบัญชีเงินฝากในประเทศไทย จากการสืบสวนปรากฏว่า นายแดดดู ใช้เอกสารในชื่ออื่นไปเปิดบัญชีเงินฝากดังกล่าว และเป็นผู้เบิกถอนเงินด้วยตนเอง โดยร่วมกับบุคคลอื่นกระทำการในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่จึงได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับ และจากการสืบสวนติดตามทราบว่า นายแดดดู หลบซ่อนตัวอยู่ที่อพาร์ตเมนท์ ซอยเพชรเกษม 52 จึงได้ขอหมายค้นต่อศาล และเข้าตรวจค้นจับกุม
พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ต้องหา ซึ่งเป็นหญิง 3 ราย ได้ร่วมกับกลุ่มคนร้ายชาวแอฟริกันตะวันตกที่ใช้ช่องทาง สื่อสังคมออนไลน์หลอกลวงหญิงไทยโดยสวมรอยเป็นบุคคลอื่นที่มีบุคลิก และฐานะทางสังคมดี หลอกจะแต่งงานมาใช้ชีวิตอยู่กับหญิงไทย หรือหลอกว่าส่งสิ่งของมาให้หญิงไทย หลังจากนั้นผู้ร่วมขบวนการจะติดต่อให้หญิงไทยโอนเงินชำระค่าขนส่ง ค่าธรรมเนียม หรือ อื่นๆ รวมทั้งหลอกลวงด้วยวิธีการอื่นๆ ในลักษณะหลอกลวงให้หลงรักทางออนไลน์ (Romance Scram) อยู่เสมอ โดยติดต่อทางเว็บไซต์หาคู่ ส่งอีเมลหรือข้อความทางเฟซบุ๊คติดต่อขอเป็นเพื่อน เพื่อเป็นช่องทางในการหลอกลวงซึ่งจากการตรวจสอบได้ความว่าเป็นกรณีกลุ่มคนร้ายชาวต่างชาติเป็นผู้กระทำการดังกล่าว บางกรณีได้ร่วมกระทำผิดกับชาวไทยบางคน โดยชาวต่างชาติส่วนนึงได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เพื่อยักย้ายเงินที่ได้จากการหลอกลวงออกไป จึงได้ทำการสืบสวนพบว่าผู้ต้องหาร่วมกระทำผิดในลักษณะขบวนการ
"จึงได้สั่งการให้ บก.ปอท.,บก.ทท., บก.ป. ร่วมกันวิเคราะห์กลุ่มองค์กรคนร้ายและสถิติการก่อเหตุย้อนหลัง 1 ปี พบว่า กลุ่มคนร้ายชาวไนจีเรียดังกล่าวมีการกระทำผิดเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ มีการแบ่งหน้าที่กันทำงานอย่างเป็นระบบ โดยการใช้กลอุบายหลอกเหยื่อด้วยวิธีการใช้ Email Scam และRomance Scam เพื่อหลอกให้เหยื่อโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารที่กลุ่มคนร้ายจัดหาไว้ จากนั้นกลุ่มคนร้ายก็จะทำการโอนเงินผ่านระบบ E-Banking หรือ การฝากเงินสดผ่านตู้ CDM ส่งต่อเข้าบัญชีคนร้ายที่มีหน้าที่บริหารจัดการ ยักย้าย ถ่ายโอนการเงินในองค์กร เพื่อทำการฟอกเงินโดยผ่านบริษัทที่เปิดไว้บังหน้า ในรูปแบบบริษัทนำเข้า หรือ ส่งออก เสื้อผ้า อาหาร สินค้าต่างๆ หรือ ผ่านพ่อค้าการเงินนอกระบบ หรือตัวแทนหักบัญชี เพื่อจ่ายเงินให้กับผู้รับเงินในประเทศปลายทาง (โพยก๊วน) ซึ่งเป็นพฤติการณ์ฟอกเงินในกลุ่มองค์กรคนร้าย จากการตรวจสอบพบว่า ภายในระยะเวลา 6 เดือน มีเงินหมุนเวียนในกลุ่มคนร้ายร่วม 100 ล้านบาท”ผบช.ก. กล่าว







