สิ้นตำนานนักชก'อาลี' เสียชีวิตด้วยวัย74ปี

สิ้นตำนานนักชก'อาลี' เสียชีวิตด้วยวัย74ปี

“สิงห์จอมโว” มูฮัมหมัด อาลี ยอดนักชกระดับตำนาน

ชาวอเมริกัน เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 74 ปี อย่างสงบที่รพ.ในเมืองฟีนิกซ์ เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากต่อสู้กับโรคพาร์กินสัน เป็นเวลานานถึง 32 ปี ขณะที่คนในวงการกีฬาร่วมไว้อาลัย

มูฮัมหมัด อาลี อดีตนักชกผู้ยิ่งใหญ่ตำนานของโลก ได้ถึงแก่กรรมอย่างสงบแล้ว ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองฟินิกซ์ รัฐอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ตามเวลาท้องถิ่น ด้วยวัย 74 ปี รายงานข่าวแจ้งว่า อดีตแชมป์โลกรุ่นเฮฟวีเวทผู้นี้ ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ และพาร์กินสัน ซึ่งเป็นผลจากการผ่านสังเวียนการชกมาอย่างโชกโชน ถูกนำส่งโรงพยาบาลเมื่อ 2 วันก่อน ก่อนเสียชีวิตในที่สุด

บ็อบ กันเนลล์ โฆษกประจำตัวของ อาลี เปิดเผยว่า หลังจากต้องต่อสู้กับโรคพาร์กินสัน มายาวนาน 32 ปี มูฮัมหมัด อาลี จากไปด้วยวัย 74 ปี อดีตแชมป์โลกรุ่นเฮฟวีเวท 3 สมัย เสียชีวิตในเวลาเย็น ส่วนงานศพจะจัดขึ้นเมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนตักกี บ้านเกิด ซึ่งจะประกาศให้ทราบต่อไป

สำหรับ อาลี ก่อนหน้านี้มีชื่อว่า แคสเซียส มาร์เซลลัส เคลย์ จูเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1942 เริ่มสร้างชื่อด้วยการคว้าเหรียญทองมวยสากลสมัครเล่น รุ่นไลท์เฮฟวีเวท กีฬาโอลิมปิกเกมส์ ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ค.ศ.1960 จากนั้นเบนเข็มมาต่อยมวยอาชีพ และคว้าแชมป์โลกในปีค.ศ.1964 ด้วยการชนะทีเคโอ ซอนนี ลิสตัน ยกที่ 7 พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น มูฮัมหมัด อาลี และเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม เป็นนักมวยคนแรกที่สามารถครองแชมป์โลกรุ่นเฮฟวีเวทได้ถึง 3 สมัย (1964-1967, 1974-1978 และ 1978-1979) ก่อนประกาศแขวนนวมอย่างเป็นทางการในปีค.ศ. 1981 มีสถิติการชก 61 ไฟท์ ชนะ 56 (น็อก 37 ครั้ง) แพ้ 5 ไฟท์ อย่างไรก็ตามในช่วงปีค.ศ.1967 อาลี ถูกแบนจากการชก เนื่องจากไม่ยอมไปร่วมรบในสงครามเวียดนาม ก่อนกลับมาชกในอีก 3 ปีต่อมา

อาลี ได้รับฉายาว่า “ผู้ยิ่งใหญ่” และ “เดอะแบล็ค ซูเปอร์แมน” มีลีลาการต่อยที่พลิ้วไหวราวผีเสื้อโบยบิน มีพลังหมัดที่หนักหน่วง เฉียบขาด ราวกับถูกเหล็กในเมื่อโดนผึ้งต่อย จนได้รับการยกย่องว่าเป็นนักชกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์วงการมวยโลก โดยหลังการชกเมื่อปีค.ศ.1984 พบว่าเป็นโรคพาร์กินสัน ซึ่งเป็นผลมาจากการกรำศึกหนักมาอย่างยาวนาน โดนต่อยหน้าหลายพันหมัด เนื่องจากสไตล์การชกที่ชอบพิงเชือกแล้วทิ้งการ์ดโยกตัวหลบหมัดคู่ชก พร้อมกับพูดยั่วคู่ต่อสู้ไปด้วย และมีลีลาการพูดก่อนการชกอย่างมีสีสัน จนสื่อมวลชนไทยตั้งสมญาให้ว่า “สิงห์จอมโว” นอกจากนั้น อาลี ยังได้รับเกียรติยศสูงสุดอีกอย่างคือ ถูกเลือกให้เป็นผู้จุดคบเพลิงในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปีค.ศ.1996 ที่แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ซึ่งสหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าภาพ

อาลี ย้ายมาพำนักที่เมืองฟีนิกซ์ รัฐอริโซนา กับ ลอนนี ภรรยาคนที่ 4 ซึ่งแต่งงานกันในปีค.ศ.1986 มีลูกทั้งหมด 9 คน เป็นหญิง 7 คน และชาย 2 คน หนึ่งในนั้นคือ ไลลา อาลี อดีแชมป์โลกหญิง รุ่นซูเปอร์มิดเดิลเวท และไลท์เฮฟวีเวท

ขณะที่ผู้คนในวงการมวยสากล และกีฬา ต่างอาลัยกับการจากไปของอาลี ไม่ว่าจะเป็น บ็อบ อารัม โปรโมเตอร์ชื่อดัง กล่าวว่า มูฮัมหมัด อาลี เปลี่ยนแปลงประเทศนี้ และรวบรวมโลกด้วยสปิริตของเขา มรดกของเขาจะเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ตลอดไป ด้าน ดอน คิง อดีตโปรโมเตอร์ที่เคยจัด อาลี ชกกับ จอร์จ โฟร์แมน กล่าวว่า สปิริตของอาลีจะคงอยู่ตลอดไป เขาเป็นตัวแทนของนักกีฬา และผู้คนในวงการกีฬาควรทำตาม ทั้งทัศนคติ ความสำเร็จของเขาเหลือเชื่อ ผู้ยิ่งใหญ่ในฐานะบุคคล และแชมเปี้ยนของผู้คน นี่คือผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล

ฟลอยด์ เมเวทเธอร์ จูเนียร์ อดีตแชมป์โลกผู้ไม่เคยแพ้ใคร ที่เคยพบกับ อาลี ระหว่างต่อยมวยสมัครเล่นกีฬาโอลิมปิก ที่แอตแลนตา กล่าวว่า เราสูญเสียตำนาน, วีรบุรุษ และคนผู้ยิ่งใหญ่ เขาคือหนึ่งในคนที่ทำให้ตนเดินตาม โลกไม่สามารถอธิบายได้ว่า มูฮัมหมัด อาลี ทำอะไรไว้บ้างในโลกของกีฬา ขณะที่ แมนนี ปาเกียว ยอดนักชกชาวฟิลิปปินส์ กล่าวว่า โลกได้สูญเสียสิ่งยิ่งใหญ่ โลกของมวยได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลจากพรสวรรค์ของ มูฮัมหมัด อาลี แต่ยังไม่มากพอสำหรับมนุษยชาติ ที่ได้รับประโยชน์จากความมีมนุษยธรรมของเขา

ขณะที่ คารีม อับดุล-จาบบาร์ อดีตยอดนักบาสเกตบอล ยกย่องความกล้าหาญของ อาลี ในเรื่องการต่อสู้เรื่องการแบ่งแยกสีผิว ที่ทำมาตลอดทั้งชีวิต ทำให้คนอเมริกันไม่ว่าจะผิวดำ หรือขาว ยืนเทียบไหล่กันได้ ส่วน สกอตต์ แบล็คแมน ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกของสหรัฐ กล่าวว่า กีฬาโลกได้เสียหนึ่งในสัญลักษณ์ไปแล้ว กับความกล้า และความมุ่งมั่นที่ไม่ใครเสมอเหมือน อาลี ทิ้งมรดกเอาไว้สำหรับเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นหลัง