แกะรอยคดีอุ้มฆ่านักธุรกิจนักเรียนนอก

แกะรอยคดีอุ้มฆ่านักธุรกิจนักเรียนนอก

(รายงาน) แกะรอยคดีอุ้มฆ่านักธุรกิจนักเรียนนอก ขัดแย้ง “คนใกล้ชิด” ชนวนสังหาร

ปกติบริเวณถนนสายสมเด็จ-สกลนคร โดยเฉพาะบริเวณผาเสวย ซึ่งอยู่บริเวณเทือกเขาภูพาน จะค่อนข้างเปลี่ยว จะไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่าน ยกเว้นเมื่อเช้าเช้าตรู่ของวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา พื้นที่บริเวณนั้นเกิดความโกลาหลขึ้น เพราะพบร่างผู้เสียชีวิตนอนคว่ำหน้าอยู่ในร่องน้ำริมถนน โดยศพสวมเสื้อลายจุดสีขาว นุ่งกางเกงยีนส์ สวมรองเท้าแตะ มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนเข้าที่ท้ายทอย ซึ่งตำรวจระบุว่าอาจเป็นขนาด 9 มม. หรือ .38 โดยเป็นปืนลูกโม่ เพราะไม่พบปลอกกระสุนตกในที่เกิดเหตุ และลักษณะการก่อเหตุคนร้ายน่าจะฉวยโอกาสที่ผู้ตายลงไปปัสสาวะข้างทางลงมือยิงเพราะซิบกางเกงผู้ตายอยู่ในลักษณะรูดลง สภาพศพที่เห็นน่าจะเสียชีวิตมาประมาณ 6 ชั่วโมง ในตัวไม่พบหลักฐานอื่นนอกจากบัตรเอทีเอ็มเพียง 1 ใบ 

นายสมพร คงอุ่น วัย 54 ปี ชาวตำบลผาเสวย อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ เล่าย้อนวินาทีที่พบศพว่า เช้าวันนั้นเวลาประมาณ 08.00 น. สองสามีภรรยา ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาตนเองในบ้าน พร้อมกับเรียกให้ตนไปดูศพริมถนน เมื่อไปดูก็พบศพชายนอนคว่ำหน้าในร่องน้ำ เมื่อสังเกตดูเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็มั่นใจว่า ไม่น่าจะเป็นชาวผาเสวยแน่นอน จึงโทรศัพท์แจ้งไปยัง สภ.สมเด็จ ให้มาตรวจสอบ

“คนรู้จักมาบอกว่าไปดูให้หน่อยว่าเป็นใคร ไม่รุ้เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันหรือไม่ เพราะวันนั้นฝนตก ชาวบ้านมาหาอึ่ง ก็คิดว่ามอเตอร์ไซค์คงล้มหรือเปล่า เมื่อมาดูลักษณะมันไม่ใช่คนแถวนี้ เพราะเสื้อผ้าที่ใส่ก็ดูดี ศพอยู่ในลักษณะนอนคว่ำหน้า มีกิ่งไม้ปิดที่คอไว้ด้วย คิดว่าคงจะยิงแล้วก็ทิ้งศพลงไปตรงร่องน้ำเลย คงจะไม่ได้มาคนเดียว อาจจะประมาณ 2-3 คน”นายสมพร กล่าว

จุดที่พบร่างผู้ตายห่างจาก “ผาร้อยศพ” ทางขึ้นเทือกเขาภูพาน ประมาณ 500 เมตร ที่นี่ในอดีต เป็นสถานที่ที่เมื่อมีคดีฆ่ากันตายแล้ว มักมีการนำศพมาทิ้งที่นี่ เป็นที่รู้จักกันดีของคนในพื้นที่ เป็นพื้นที่รกร้าง ท่ามกลางป่าทึบ ใต้หน้าผาสูงเกือบ 30 เมตร มีทั้งก้อนหินเล็กใหญ่ และเศษไม้แหลม รวมไปถึงเศษธูปเทียน และหมากพลู ที่หลายคนนำมาเซ่นไหว้ ดวงวิญญาณที่สังเวยชีวิตให้ผาร้อยศพ

แม้วันนี้ ผาร้อยศพ จะถูกปรับปรุงให้มีความสวยงาม และปรับแต่งให้เป็นพื้นที่จัดกิจกรรม และไม่ค่อยปรากฎศพที่ถูกนำมาทิ้งเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยังมีป้าย “ห้ามนำศพมาทิ้ง” ติดไว้ตามต้นไม้ และคนในพื้นที่อย่างนายสมพร คงอุ่น ก็ยังสามารถบอกเล่าและจดจำเรื่องราว ในอดีตได้

“ในอดีตพื้นที่เคยมีเหตุการณ์นำศพมาทิ้ง แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมีแล้ว แต่ก่อนจะเอาไปทิ้งทางถนนเส้นเก่า ซึ่งเป็นผา บางครั้งก็โยนทิ้งไว้ในพุ่มไม้ 1-2 สัปดาห์มีครั้ง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ก็เพิ่งมีครั้งล่าสุดที่ศพผู้ชาย ไม่กลัวหรอก แต่ก็ไม่อยากเอามาทิ้งแบบนี้ มันโหดร้ายเกินไป ชาวบ้านสลดใจ หากินก็หวั่นๆอยู่” นายสมพร กล่าว

ตำรวจได้ขยายผลเพื่อยืนยันตัวบุคคลศพที่พบโดยตรวจสอบจากหลักฐานสำคัญเพียงชิ้นเดียวที่พบในร่างผู้ตายคือบัตรเอทีเอ็ม กระทั่งทราบว่าผู้ตายคือนายภาสพล รัตนตยาธิคุณ อายุ 48 ปี เป็นนักธุรกิจ และอดีตนักเรียนนอก มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร โดยมีบ้านพักอยู่ซอยสุขุมวิท 65 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา

ที่เกิดเหตุพบหลักฐานทางนิติวิทยาศาตร์ เช่นหัวกระสุนปืน รอยนิ้วมือ รอยเท้าและรอยเลือด ร่องรอยที่พบไม่ใช่การฆ่าชิงทรัพย์ธรรมดา แต่เป็นการอุ้มมาฆ่า ตำรวจจึงพยายามหาความเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยตั้งประเด็นการสังหาร ทั้งหักธุรกิจขายเสื้อผ้า ปมชู้สาวและปมขายที่ดินมูลค่าหลายร้อยล้าน โดยครอบครัวทำธุรกิจโรงพิมพ์เก่าแก่ ย่านห้วยขวาง กทม. คาดผู้ตายถูกอุ้มมาจากกรุงเทพมหานครแล้วพามายิงทิ้งริมถนนในกาฬสินธุ์

ตำรวจฝ่ายสืบสวน ตรวจสอบไปยังโรงแรมต่างๆ ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ และใกล้เคียงเพื่อหาเบาะแสของคนร้าย และจะแจ้งไปยังญาติตามที่อยู่เพื่อหาสาเหตุ รวมทั้งเเบ่งหน้าที่กันทั้ง ฝ่ายสืบสวนภาคเเละฝ่ายสืบสวนจังหวัด ขณะที่พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผบ.ตร. ได้สั่งการชุดสืบสวนหาเบาะแสกลุ่มชายฉกรรจ์แปลกหน้า พร้อมสั่งตรวจสอบวงจรปิดหาเส้นทางมาและหนี รวมทั้งส่งชุดสืบสวนสอบปากคำญาติผู้ตายที่ กทม. และสั่งการตรวจสอบหาแหล่งกบดาน

พล.ต.ต.อภิชิต เทียนเพิ่มพูล ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ ให้ข้อมูลว่า พยายามเร่งรัดการทำคดีนี้เพราะถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์และเป็นที่สนใจของสังคม คดีนี้ใช้เวลาเกือบ 2 สัปดาห์ ก็สามารถตัดประเด็นการสังหารจนเหลือเพียงขัดแย้งผลประโยชน์ทางธุกิจ โดยมีการรวบรวมพยานหลักฐานคาดว่าจะสามารถการออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องประมาณ 5-6 คน จะมีทั้งผู้จ้างวาน ทีมอุ้มฆ่า

“ตั้งเเต่เริ่มต้นตั้งไว้หลายประเด็นทั้ง ชู้สาว ขัดผลประโยชน์ หักหลังทางธุรกิจ ทีมทำงานพิสูจน์ทราบทุกประเด็น ขณะนี้สรุปเเล้วไม่น่าจะใช่เรื่องชู้สาว เหลือประเด็นขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจ เรื่องเงินๆ ทองๆ มีบุคลลต้องสงสัยเเล้วและคาดว่าจะออกหมายจับ 5-6 คน จะมีทั้งผู้จ้างวาน ทีมอุ้มฆ่า มีบุคลลต้องสงสัยเเล้ว คนที่อุ้มคนพาคนมาฆ่า ข้ามจังหวัด 500-600 กม. เพื่อเอามาฆ่าก็คงไม่ใช่ธรรมดา” พล.ต.ต.อภิชิต กล่าว

ประเด็นการนำผู้ตายถูกมาฆ่าในพื้นที่ ต.ผาเสวย อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ รวมทั้งเส้นทางที่กลุ่มคนร้ายใช้จนมาถึงจุดฆ่า เป็นอีกประเด็นที่ตำรวจพยายามแกะรอย

“ตำรวจพยายยามแกะรอย ตรวจสอบกล้องวงจรปิด เส้นทางจากกรุงเทพมหานครมาภาคอีสานสามารถเดินทางมาได้หลายทาง ทั้ง สระบุรี ปากช่อง เข้านครราชสีมา มาทางปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา เข้าอ.วังน้ำเขียว เเล้วเข้านครราชสีมา ไปขอนเเก่นหรือเข้ามาทางมหาสารคาม ไปร้อยเอ็ดเเล้วก็ไปเข้า อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เเล้ว ไปถึง อ.สมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ หรือผ่านตัวเมืองกาฬสินธุ์ เเล้วไป ที่เกิดเหตุ” พล.ต.ต.อภิชิต กล่าว

ในการขยายผลของตำรวจพบกล้องวงจรปิดย่านห้วยขวางบันทึกภาพกลุ่มชายฉกรรจ์พานายภาสพล ออกมาจากโรงพิมพ์ซึ่งเป็นธุรกิขของครอบครัวผู้ตาย เมื่อวันที่ 29 เมษายน ในสภาพถูกมัดมือมายังบ้านพักซึ่งห่างออกมาเพียง 700 เมตรแล้วนำกลับไปยังโรงพิมพ์อีกครั้ง ก่อนจะถูกนำขึ้นรถยนต์ออกจากกรุงเทพมหานคร และพบศพที่ จ.กาฬสินธุ์

“ชุดคนที่เข้าไปควบคุมตัวคนตายตั้งเเต่บ้านอยู่ที่ กทม. ตำรวจเข้าไปตรวจสอบหลักฐาน รู้เเล้วว่าเป็นพวกใคร จุดเริ่มมาจากใคร ตำรวจเเบ่งหน้าที่กันว่าต้องไปไล่คนตายกว่าจะมาตายจาก กทม.เเล้วมาตายที่ผาเสวย มาอย่างไร มาเส้นทางไหน ใครเป็นใครพามา ตัวละครที่เป็นคนไปเอาตัวมา ก็พอจะรุ้เบาะเเส มีคนประมาณหรือมากกว่า5 คน จากข้อมูลเบื้องลึก มีการพันธนาการด้วย เเละคุมตัวไปที่ไหน จุดไหน ตำรวจไปตรวจสอบมาหมดเเล้ว ภาพใบหน้าของคนกระทำชัดเจน เเต่ถามว่าเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุเเล้วใครเป็นคนยิง ต้องพิสูจน์”พล.ต.ต.จตุพล ปานรักษา รองผบช.ภ.4 กล่าว

ตู้เอทีเอ็มในละแวกวัดโสธรวรารามวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา เป็นจุดที่คนร้ายบังคับให้ผู้ตายกดเงินจำนวน 10,000 บาท ก่อนที่บัญชีจะถูกอายัดไป ทำให้ตำรวจมั่นใจว่าคนร้ายใช้เส้นทางนี้มุ่งหน้าสู่ จุดสังหาร โดยคนร้ายมี 3 กลุ่ม แบ่งหน้าที่กันทำกลุ่มแรกเข้าไปอุ้มผู้ตายออกจากบ้าน แล้วส่งต่อให้กับกลุ่มที่สองนำไปส่งต่อให้กับทีมสังหาร โดยทั้งสามกลุ่มนี้เชื่อมโยงกับคนใกล้ชิดผู้ตาย

แนวทางสืบสวนพบว่าคนใกล้ชิดรายนี้มีเรื่องไม่ลงรอยกับผู้ตายมาระยะเวลาหนึ่ง ล่าสุดขัดแย้งกันเกี่ยวกับส่วนแบ่งค่าที่ดินย่านประชาอุทิศมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ซึ่งมีการขู่จะฆ่ากัน หลักฐานที่ปรากฏเพียงพอที่จะออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องได้แล้วอย่างน้อย 5-6 คน ในจำนวนนั้นมีผู้ใกล้ชิดผู้ตายรวมอยู่ด้วย