จี้เอาผิดเจ้าของปล่อยสุนัขเร่ร่อน

“น้องหมา” ล้นเมือง-คดีทารุณสัตว์พุ่ง จี้เอาผิดเจ้าของปล่อยสุนัขเร่ร่อน
นับตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2557 เป็นต้นมา หลัง พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ มีผลบังคับใช้ มีผู้กระทำความผิดตามกฎหมายนี้แล้วหลายร้อยคดี แต่เมื่อเข้าสู่การพิจารณาคดีตามกระบวนการยุติธรรมแล้ว มีผู้ต้องโทษโดยการจำคุกซึ่งเป็นโทษสูงสุดตามบทบัญญัติของกฎหมายนี้เพียงไม่กี่ราย ส่วนใหญ่จะรอลงอาญาไว้
ผู้กระทำความผิดตามกฎหมายนี้มีบ่อยครั้งที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง มีทั้งนักการเมือง หรือแม้กระทั่งผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างตำรวจ อย่างกรณีล่าสุดตำรวจระดับสารวัตร ตกเป็นผู้ต้องหาตามกฎหมายฉบับนี้ หลังจากใช้ปืนยิงสุนัขตายไป 1 ตัว และสาหัสอีก 1 ตัว โดยอ้างว่าป้องกันตัวเพราะสุนัขจะรุมกัดภรรยาที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ แต่ก็มีบุคคลที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์ให้ข้อมูลที่แตกต่างระบุเพียงสุนัขเห่าก็ถูกยิงตายและบาดเจ็บ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่แฟลตกลางลาดยาว ย่านจตุจักร ซึ่งเป็นที่พักอาศัยสวัสดิการของตำรวจ หลังเกิดเหตุแม้จะมีกลุ่มผู้รักสัตว์จำนวนไม่น้อยเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุสถานหนัก แต่ในมุมของผู้พักอาศัยในแฟลตแห่งนี้จำนวนไม่น้อยเช่นกันเรียกร้องให้มีการบังคับใช้กฎหมายให้ครอบคลุมไปถึงเจ้าของสุนัขที่ไม่มีความรับผิดชอบปล่อยปละละเลยจนเกิดปัญหาสุนัขจรจัด
“แรกๆก็มีไม่กี่ตัวมีคนเอามาปล่อยตอนนี้เพิ่มจำนวนมีกว่า 50 ตัวแล้ว หลังๆมานี้ดุด้วย แม้จะอยู่ที่นี่มานานเห็นกันทุกวันมันก็เห่า รถจักรยานยนต์รับจ้างวิ่งผ่านมันก็ไล่กัด สามีฉันก็เคยโดนกัด ค่ารักษาก็ต้องจ่ายเองเพราะไม่รู้จะไปเรียกเอาจากใคร” นางศิริรัตน์ ยอดช่วย ผู้พักอาศัยในแฟลตลาดยาว บอก
ไม่ต่างจากนางสมศรี ตุ้มมณี ซึ่งพักอาศัยในแฟลตแห่งนี้มานานกว่า 20 ปี ที่ยอมรับว่า ทุกวันนี้ไม่กล้าเดินผ่านหน้าแฟลต หากจำเป็นต้องผ่านต้องชวนใครเดินมาเป็นเพื่อนจะได้ช่วยเหลือกันไล่สุนัข หากเดินคนเดียวมีโอกาสโดนสุนัขกัดได้สูง
“มีคนโดนกัดบ่อย ทุกวันนี้หากผ่านหน้าแฟลตต้องระวังตัวอย่างมาก ฉันต้องออกไปขายปาท่องโก๋ทุกวันโดยต้องมีหลานตามไปคอยช่วยทุกครั้ง วันไหนที่หลานไม่ได้ไปด้วยวันนั้นต้องหยุดขายไปเลย เพราะไม่กล้าออกไปกลัวสุนัขกัด” นางสมศรี กล่าว
ผู้พักอาศัยในแฟลตกลางลาดยาว ให้ข้อมูลด้วยว่า สุนัขที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นส่วนหนึ่งเป็นลูกสุนัขที่เกิดจากสุนัขจรจัดที่มีอยู่เดิมซึ่งไม่เคยได้รับการทำหมัน แต่จำนวนไม่น้อยเป็นสุนัขที่เคยมีเจ้าของแต่ถูกปล่อยปละละเลยไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ และจำนวนไม่น้อยที่เจ้าของเจตนานำมาปล่อยทิ้งกลายเป็นสุนัขจรจัด
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะที่แฟลตกลางลาดยาวเพียงแห่งเดียว แต่เกิดขึ้นทั่วไปตามแหล่งชุมชนต่างๆ ซึ่งข้อมูลจากการสำรวจของกรมปศุสัตว์ครั้งหลังสุดเมื่อปี 2557 พบว่า มีจำนวนสุนัขเร่ร่อนจรจัดในไทยมากถึง 700,000 ตัว เป็นเพศผู้ 370,000 ตัว เพศเมีย 340,000 ตัว ซึ่งสุนัขจรจัดเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำหมัน ซึ่งสัดส่วนการกำเนิดลูกสุนัขพบว่า สุนัขเพศเมีย 1 ตัวสามารถออกลูกได้มากกว่า 10 ตัวต่อปี นั้นหมายความว่าในขณะนี้มีแนวโน้มมีจำนวนสุนัขจรจัดในไทยแล้วมากกว่า 3,400,000 ตัว ซึ่งในช่วงฤดูร้อนนอกจากปัญหาความเดือดร้อนรำคาญแล้วยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งมีการตรวจพบโรคนี้ในสุนัขมากถึง 90 เปอร์เซนต์ ในจำนวนนี้กว่า 60 เปอร์เซ็นต์พบในสุนัขจรจัด
นายพีระบุญ เจริญวัย เครือข่าย WATCHDOG THAILAND ให้ข้อมูลว่า การแก้ไขปัญหาสุนัขจรจัดทำได้ค่อนข้างยาก แม้จะมีกฎหมายป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์แล้ว แต่ยังขาดความเอาจริงเอาจังจากทางภาครัฐบาล และบทลงโทษกับผู้ที่กระทำความผิดยังไม่เข้มข้น เช่นผู้ที่กระทำทารุณกรรมสัตว์ตามบทลงโทษของกฎหมายมีโทษสูงสุดคือจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จนถึงขณะนี้เท่าที่ติดตามมีผู้ถูกลงโทษตามความผิดกฎหมายนี้มีเพียง 3 ราย ที่ถูกจำคุก โดยโทษสูงสุดที่ได้รับคือจำคุก 6 เดือน รองลงมาคือจำคุก 3 เดือน และอีกรายมีคำสั่งจำคุก 4 เดือนแต่รับสารภาพจึงได้รับการลดโทษเหลือจำคุก 2 เดือน
“อยากให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นกับผู้ที่ทำผิดโดยการลงโทษสูงสุดตามบัญญัติของกฎหมายเพื่อให้เข็ดหลาบ ส่วนเจ้าของสุนัขที่ปล่อยปละละเลยไม่ดูแลสุนัขของตัวเองให้ดีสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นก็ต้องถูกลงโทษด้วย ยิ่งในรายที่ปล่อยปละละเลยมีการนำสุนัขไปปล่อยทิ้งยิ่งต้องมีการกำหนดโทษและลงโทษที่ชัดเจนด้วย ไม่เช่นนั้นการแก้ปัญหาสุนัขจรจัดก็ไม่สามารถสำเร็จลุล่วงได้” นายพีระบุญ กล่าว
เครือข่าย WATCHDOG THAILAND รายนี้เปิดเผยว่า ที่ผ่านมามีการรวมตัวกันของกลุ่มผู้รักสัตว์ยื่นหนังสือถึงคณะรัฐมนตรีให้จัดตั้งสถานสงเคราะห์สัตว์ จังหวัดละ 1 แห่งทั่วประเทศ เพื่อดูแลสัตว์จรจัด และบริหารจัดการไม่ให้มีการเพิ่มจำนวน โดยมีบุคลากรดูแลควบคุม มีการทำหมัน ฉีดวัคซีน รวมถึงการหาบ้าน ซึ่งก็เป็นอีกแนวทางที่จะช่วยเหลือสุนัขจรจัดได้เช่นกัน
แนวทางนี้ถูกหยิบยกมาพูดถึงอีกครั้งหลัง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร. มีการหารือกับตัวแทนจากกรมปศุสัตว์ และกรุงเทพมหานคร เพื่อหาแนวทางเเก้ปัญหาสุนัขจรจัดเเละบริหารจัดการสัตว์หรือสุนัขที่ถูกทอดทิ้ง ซึ่งเร็วๆนี้จะมีการนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยเฉพาะ
"ตำรวจเป็นเพียงปลายเหตุ ประเด็นหลักคือปัญหาการทอดทิ้งสัตว์ เราจะทำอย่างไรให้พี่น้องประชาชนไม่ทอดทิ้งสัตว์” พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าว
ส่วนความผิดที่เกี่ยวกับการทารุณกรรมสัตว์ซึ่งมีแนวโน้มเกิดขึ้นสูงโดยผู้กระทำผิดมักอ้างเหตุป้องกันตัวนั้น นสพ.พงษ์เทพ เอกอุดมชัย ผู้อำนวยการส่วนบำบัดรักษาโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์ ระบุว่า มาตรา 21 (6) พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ บัญญัติไว้แล้ว กรณีถูกสุนัขหรือสัตว์เข้ามาทำร้ายสามารถป้องกันตัวได้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม อย่างเช่นผู้ที่จะถูกทำร้ายอาจใช้เสียงไล่ก่อน แต่หากประชิดตัวอาจใช้ไม้หรือสิ่งใกล้ตัวทำให้สุนัขหรือสัตว์กลัวไม่กล้าทำร้าย ซึ่งต้องดูที่เจตนา ส่วนการใช้ปืนยิงต้องดูหลักฐานประกอบหลายอย่างซึ่งต้องพิจารณาว่าสมควรแก่เหตุหรือไม่
นสพ.พงษ์เทพ บอกด้วยว่า พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ นอกจากจะมีบทลงโทษต่อผู้กระทำต่อสัตว์แล้ว ยังมีบทลงโทษเจ้าของที่ทอดทิ้งสัตว์ด้วยตามมาตรา 23 ห้ามมิให้เจ้าของสัตว์ปล่อย ละทิ้ง หรือกระทำการใด ๆ ให้สัตว์พ้นจากการดูแลของตนโดยไม่มีเหตุอันสมควร หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาท ซึ่งเท่ากับว่าใครที่ปล่อยปละละเลยสัตว์เลี้ยงของตัวเองให้เร่ร่อนจรจัด หรือไปทำร้ายผู้อื่นย่อมมีความผิดต้องได้รับโทษตามกฎหมายด้วย




