คร.ชู'ฮิพคอล์-ที'ดูแลผู้ป่วยเอดส์ครบวงจร

คร.ชู'ฮิพคอล์-ที'ดูแลผู้ป่วยเอดส์ครบวงจร

คร.ชู “ฮิพคอล์-ที” ดูแลรักษาผู้ป่วยเอดส์ครบวงจร ฟุ้งหลังมีโครงการลดอัตราป่วยซ้อนวัณโรคถึง90 %

ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ นพ.สมบัติ แทนประเสริฐสุข นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวภายในงานสัมมนาวิชาการระดับประเทศ การพัฒนาคุณภาพบริการการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ครั้งที่ 1 หัวข้อ “ก้าวไปด้วยกัน สร้างสรรค์คุณภาพ” ว่า การให้บริการด้านสุขภาพดีหรือไม่ ต้องเน้นเรื่องคุณภาพมาตรฐานด้วย โดยผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขจะต้องติดตามดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วยตั้งแต่ต้นไปจนถึงจบการรักษา เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น ในส่วนของโรคเอดส์ มีการดำเนินการโครงการพัฒนาคุณภาพการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ของประเทศไทย หรือฮิพคอล์-ที(HIVQUAL-T) ซึ่งถือเป็นโรคแรกที่นำร่องในการพัฒนาคุณภาพการดูแลรักษา เพราะเป็นโรคที่มีความสำคัญและละเอียดอ่อน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตทางเพศ และผู้รับบริการต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง

นพ.สมบัติ กล่าวด้วยว่า โครงการ HIVQUAL-T ดำเนินการมาแล้วประมาณ 12 ปี ครอบคลุมโรงพยาบาลทั่วประเทศกว่าร้อยละ 80-90 แต่เป็นความสมัครใจ ซึ่งการดำเนินโครงการคล้ายกับการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ทั่วไปคือ บุคลากรทางการแพทย์จะดูแลตั้งแต่การเข้ามาตรวจหาเชื้อเอชไอวี การให้คำแนะนำ ไปจนถึงการรักษา การติดตามการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง เพราะหากผู้ป่วยหยุดยาโดยที่แพทย์ไม่ทราบก็อาจมีปัญหาเชื้อดื้อยา นับเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลจนครบสูตรในการรักษา แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือ หากพบปัญหาเกิดขึ้นในพื้นที่ ก็จะต้องมีการลงไปเก็บข้อมูล เพื่อวิเคราะห์ผลว่าปัญหาคืออะไร จะแก้ปัญหาได้อย่างไร มีการจัดตั้งเป็นโครงการ กำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ ซึ่งบุคลากรจะได้รับการฝึกในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ด้วยการดำเนินการเช่นนี้ทำให้การดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์เป็นไปอย่างมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น แต่การดำเนินการได้นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนบุคลากรและความพร้อมของโรงพยาบาลด้วย

“ก่อนที่จะมีโครงการนี้พบว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวี 10% จะมีอาการป่วยโรควัณโรคร่วมด้วย แต่ไม่ได้รับการตรวจคัดกรอง หลังจากการดำเนินโครงการนี้ ซึ่งใส่ใจทุกปัญหา ทุกรายละเอียดของผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ ปัญหาเรื่องนี้ก็ลดลงไปมากกว่า 90% ทั้งนี้ มองว่าทุกโรค ทุกการรักษาจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาคุณภาพมาตรฐาน เพราะเมื่อมีการดำเนินการรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (HA) เป็นจำนวนมากแล้ว ก็ควรมีการประกันคุณภาพเฉพาะโรคด้วย เหมือนผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ต้องมีการประเมินคุณภาพ จะทำใผู้ป่วยได้รับบริการที่ดีขึ้น” นพ.สมบัติกล่าว