ยกฟ้อง 'พิจิตต รัตตกุล-ประเสริฐ สมะลาภา' คดีซื้อที่จอดรถกทม.

ศาลยกฟ้อง "พิจิตต รัตตกุล-ประเสริฐ สมะลาภา" ถูกกกล่าวหาทุจริตซื้อที่จอดรถ กทม.
เมื่อเวลา 09.50 น. ศาลนัดพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ.3387/2553 ,อ.3419/2553 , อ.3447/2553 , อ.3505/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็น โจทก์ ยื่นฟ้อง นายพิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯ กทม. , นายประเสริฐ สมะลาภา อดีตปลัด กทม. , นายญาณเดช ทองสิมา อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. พร้อมพวกรวม 8 คน ซึ่งเป็นข้าราชการ กทม. เป็นจำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต ฯ,ร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับ ทรัพย์สินฯ สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ และ ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 , 151 และ 157 กรณีระหว่างวันที่ 4 ธ.ค.38 - 16 ก.ย.40 จำเลยกับพวกซึ่งมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษา ทรัพย์ใดๆ ของกรุงเทพมหานคร ร่วมกันวางแผนและแบ่งหน้าที่กันดำเนินการให้กรุงเทพมหานครจัดซื้อที่ดินเฉพาะรายของนายสุพจน์ และนางสุณี มโนมัยพันธุ์ เพื่อใช้เป็นที่จอดรถขยะ รถน้ำและรถอื่นๆ แต่ต้องจัดซื้อที่ดินแพงเกินจริงไปเป็นเงิน 36,855,070 บาท โดยจำเลยกับพวก ร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับเงินจากนายสุพจน์ มโนมัยพันธุ์ และนายชูศักดิ์ ศรีประเสริฐ นายหน้าขายที่ดิน เป็นเงิน 18 ล้านบาท
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า การเสนอขายที่ดินให้กับ กทม. ดังกล่าว ไม่ได้เป็นการเสนอขายราคาที่ดินเกินจริง หรือสูงกว่าราคาประเมิน เพราะหลังจากนายชวน พัฒนวรานนท์ อดีต ผอ.บางซื่อ จำเลยที่ 8 ได้รับมอบหมายให้ประกาศซื้อที่ดินในเขตบางซื่อ ก็มีการสอบถามราคาประเมิน และราคาขายที่ดินทั้งจากสำนักงานที่ดิน กทม. , ธอส. และธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปรากฎราคาใกล้เคียงกัน และขณะที่ ที่ดินดังกล่าวที่มีการจัดซื้อก็มีลักษณะที่ดินพัฒนาแล้วพร้อมใช้งานทันที เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการจัดซื้อ จึงไม่ขัดต่อระเบียบ กทม. ในการใช้วิธีซื้อพิเศษ โดยไม่ประกวดราคา ดังนั้นจำเลยที่ 1,2,3,5,6,7 จึงไม่มีความผิด พิพากษายกฟ้อง
แต่นายสมคาด สืบตระกูล อดีตเลขานุการผู้ว่า กทม. จำเลยที่ 4 และ นายชวน พัฒนวรานนท์ อดีตผู้อำนวยการเขตบางซื่อ จำเลยที่ 8 พยานหลักฐานโจทก์ ที่นำสืบเจ้าของที่ดิน , เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร เบิกความสอดคล้องกัน รับฟังได้ว่า หลังจากจำเลยที่ 8 ได้จดทะเบียนรับโอนที่ดินแล้ว ช่วงระหว่างเดือนต.ค.- พ.ย. 40 เจ้าของที่ดินได้ออกเช็ค 18 ล้านบาท ผ่านนายหน้าขายที่ดิน ที่อ้างว่าเพื่อจ่ายค่านายหน้า และค่าธรรมเนียมที่ดิน แต่ปรากฏว่า มีการนำเช็คเข้าบัญชีเงินของจำเลยที่ 4 และ จำเลยที่ 8 ในช่วงเวลาที่ต่อเนื่องหลังจากการซื้อขายที่ดิน จึงเชื่อว่าเป็นเงินที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายที่ดินของ กทม.
พยานหลักฐานที่โจทก์ นำสืบมาจึงฟังได้ว่า นายสมคาด จำเลยที่ 4 มีความผิดฐานเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินฯ ตาม ม. 149 ให้จำคุก 8 ปี ส่วนนายชวน จำเลยที่ 8 มีความผิดฐานเรียกรับทรัพย์สิน ฯ และ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตาม ม.149 และ 157 ซึ่งเป้นการกระทำผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุด ตาม ม. 149 จำคุก 10 ปี
ภายหลังฟังคำพิพากษา ทีมทนาย เตรียมยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด เพิ่มจากทรัพย์เดิมที่จำเลยที่ 4และที่ 8 เคยได้รับการประกันไว้ระหว่างพิจารณาคดี คนละ 500,000 บาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 4 และ ที่ 8 ระหว่างอุทธรณ์คดี
ด้าน นายพิจิตต อดีตผู้ว่า ฯ กทม. กล่าวภายหลังศาลมีคำพิพากษายกฟ้องว่า ทุกฝ่าย รวมทั้ง ป.ป.ช. ทำหน้าที่อย่างโปร่งใส ส่วนอัยการโจทก์ จะยื่นอุทธรณ์คดีต่อหรือไม่นั้น ไม่ทราบต้องรอดูอัยการ







