จี้รัฐเร่งแก้น้ำเซาะตลิ่งพรมแดนไทย-พม่าพัง

นายนิตย์ อุ่ยเต็กเค่ง ประธานเครือข่ายภาคประชาสังคม จ.ระนอง เปิดเผยว่า ประชาชนในพื้นที่ อ.กระบุรี จ.ระนองกำลังวิตกกับปัญหาการน้ำกัดเซาะแนวตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำกระบุรี ซึ่งเป็นแนวแม่น้ำสำคัญที่กั้นพรมแดนไทย-พม่าด้านจังหวัดระนองเป็นระยะทางยาวประมาณ 60 กม.

ซึ่งขณะนี้พบว่าบางช่วงในเขตพื้นที่ 3 ตำบล ในอ.กระบุรีประกอบด้วยต.มะมุ,ต.น้ำจืด และต.ปากจั่น แนวตลิ่งถูกกระแสน้ำซึ่งมีการพัดเปลี่ยนทิศทางกัดเซาะกินรุกล้ำเข้ามายังฝั่งไทย จากการเก็บข้อมูลของสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองระนองพบว่าแต่ละปีผืนดินฝั่งไทยถูกกระแสน้ำกัดเซาะหายไปไม่ต่ำกว่า 3-5 ม.ต่อปี และเป็นปัญหาเช่นนี้มานานแล้วนับ 10 ปี จนชาวบ้านบางคนบอกว่าที่ดินซึ่งอดีตเคยเป็นผืนนา หรือสวนปาล์มแต่ปัจจุบันได้กลายเป็นแม่น้ำไปแล้ว

จากการสำรวจล่าสุดพบว่าจุดที่ถูกกระแสน้ำกัดเซาะรุนแรง และจะต้องได้รับการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนมีทั้งหมด 26 จุด คิดเป็นระยะทางเป็นแนวยาวรวมกว่า 10 กม. หรือประมาณ 10,770 ม. สำหรับวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ดีที่สุดในขณะนี้คือการสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง ซึ่งที่ผ่านมาทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการทดลองก่อสร้างที่ ม.5 บ้านคลองวัน ต.มะมุ เป็นแนวยาว 120 ม. ปรากฏว่าสามารถหยุดยั้งการกัดเซาะแนวตลิ่งอย่างได้ผล ทางจังหวัดจึงได้ให้สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจ.ระนองทำการสำรวจ และออกแบบการก่อสร้างเขื่อนทั้ง 26 จุด พบว่าจะต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการทั้งหมด 863 .635 ล้านบาท

ซึ่งที่ผ่านมาพยายามที่จะดำเนินการขอการสนับสนุนไปยังหน่วยงานต่างๆ อาทิ กรมโยธาธิการและผังเมือง,กระทรวงการต่างประเทศ,หรือแม้กระทั่งการจัดสรรงบพัฒนาจังหวัด ซึ่งล่าสุดทราบว่าทางกรมโยธาธิการและผังเมืองได้จัดสรรงบประมาณบางส่วนเข้ามาเพิ่มเติม สำหรับดำเนินการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งใน 2 จุดคือที่ บ้านสองพี่น้อง ม.1 ต.มะมุ ความยาว 250 ม. และบ้านหาดใหญ่ ม. 8 ต.ปากจั่น ความยาว 200 ม. แต่ยังไม่เพียงพอและไม่ทันกันการกัดเซาะที่รุนแรงทุกขณะจึงต้องการให้เร่งจัดสรรงบประมาณเข้ามาดำเนินการให้แล้วเสร็จในทุกจุด รวมทั้งการประสานพูดคุยกับทางการพม่าให้เข้าใจเนื่องจากที่ผ่านมาเมื่อฝ่ายไทยก่อสร้างฝ่ายพม่าก็จะประท้วงจนการก่อสร้างเกิดการชะงักหรือล่าช้า