รวบยกแก๊งโจรกรรมรถออดี้-เครื่องเพชร

จนท. รวบยกแก๊งโจรกรรมรถออดี้-เครื่องเพชร ผู้ต้องหา 4 คน และผู้รับซื้อของโจรอีก1ราย รับสารภาพทำเพราะต้องการเงิน
พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบก.น.7 พร้อมด้วยนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ร่วมกันแถลงผลตำรวจสืบสวนนครบาล7และชุดสืบสวน สน.บางพลัด จับกุมแก๊งโจรกรรมรถออดี้ ได้ผู้ต้องหา 4 คน และผู้รับซื้อของโจรอีก 1 รายคือนายสหยศ หรือแบ็งค์ กาฐจนเสถียร หัวหน้าแก๊งค์เป็นคนลักรถขับหนีไป (คนกลางใส่เสื้อยืดคอกลมสีเทา) นายพร้อมพันธ์ หรือชิว ตันตินีรนาถ (นำทรัพยย์สินของมีค่าในรถไปขายต่อ) นายนายบุญเย็น หรือป๊อป สุภาสาคร นายฤทธิกร หรือโจ้ ศรีโสตติยาภากรทั้ง 4 คน ทำงานกันเป็นทีมแบ่งกันทำหน้าที่ตั้งแต่ดูเป้าหมายขี่รถ จยย.ติดตามเหยื่อ และลงมือ รวมถึงนำทรัพย์สินไปขายต่อ โดยทั้งหมดเป็นวัยรุ่นอายุระหว่าง 20 -25 ปี และนายลัดดา หรือขาว บุญเมฆ อายุ 40 ปี ผู้รับซื้อของมีค่าทั้งหมด
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ถูกชุดสืบสวนนครบาล 7 และชุดสืบสวน สน.บางพลัด จับกุมตามหมายจับข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ หรือรับของโจร พร้อมติดตามของกลางคืนมาได้บางส่วนคือกรอบนาฬิกาโรเล็กซ์ทองคำ และทองคำฝังเพชรรวม 42 อันราคาประมาณ 5 แสนบาท เพชรหนัก 2 กะรัต ราคา 3 แสนบาท เงินสดที่เหลือจากการขายทรัพย์สิน 3 หมื่นบาท ภายหลังก่อเหตุขโมยรถยนต์สปอร์ตหรู 2 ประตู ยี่ห้อออดี้ สีขาว หมายเลขทะเบียน ษห 9 กทม. ของนายวีระยุทธ โชติวิจิตร อายุ 49 ปี นักธุรกิจค้าจิวเวลรี่ไปต่อหน้าต่อตา ขณะผู้เสียหายลงจากรถเปิดประตูหน้าบ้านเลขที่ 888 ถนนสิรินธร ท้องที่สน..บางพลัดกลางดึกวันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา
กระทั่งวันที่ 21 ส.ค.พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา ได้รับแจ้งว่า พบรถยนต์คันดังกล่าวจอดทิ้งไว้ในซอยสาทร 14 ด้านข้างอาคารว่องจิวเวอร์รี่ แขวงสีลม เขตบางรัก จากการตรวจสอบพบทรัพย์สินในรถกระเป๋าใส่จิวเวลรี่ มีกรอบนาฬิกาโรเล็กซ์ล้อมเพชร แหวนเพชร และแหวนทองคำขาวหายไป คิดเป็นมูลค่ารวม 2 ล้านบาท จากแนวทางสอบสวน พบหนึ่งในผู้ต้องหาขับรถมาจอดไว้กลางดึกวันที่ 20 ส.ค. เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ และสืบสวนแกะรอยจากกล้องวงจรปิด เส้นทางการหลบหนีของคนร้าย และเส้นทางที่คนร้ายนำรถมาจอดทิ้งไว้ นำไปสู่ขั้นตอนการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานนำไปสู่การออกหมายจับ และติดตามจับกุมตัวมาได้ทั้งหมด ขณะที่ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพเหตุที่ทำเพราะต้องการเงิน ส่วนสาเหตุที่เลือกรถหรู เพราะคิดว่า จะต้องมีของมีค่าในรถอย่างแน่นอน
ด้านศูนย์ป้องกันปราบปรามการโจรกรรมรถ บช.น. เตือนประชาชนเจ้าของรถอย่าจอดรถติดเครื่องทิ้งไว้ แม้จะลงไปทำธุระเพียงไม่กี่นาทีก็ตาม จากสถิติข้อมูลรถหายในพื้นที่นครบาล พบว่า เหตุคนร้ายกระทำการซึ่งหน้า อุกอาจชิงทรัพย์รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ไปต่อหน้าต่อตา เกิดขึ้นบ่อยครั้ง รวมถึงในพื้นที่ต่างจังหวัด ขณะที่เจ้าของรถผู้ขับขี่ประมาทเลินเล่อโดยแผนประทุษกรรมของคนร้ายแก๊งวิ่งราวรถยนต์เริ่มจากการขับรถติดตามรถเป้าหมายจากที่ใดที่หนึ่งเน้นสถานที่ที่มีสิ่งของมีค่าเช่นตามจากธนาคาร ร้านทอง ร้านเพชร หรือเลือกดูจากยี่ห้อและรุ่นของรถเนื่องจากเชื่อว่าหากโจรกรรมสำเร็จนอกจากได้รถยนต์ตามต้องการยังได้เงินสดแถมไปด้วย
เหตุชิงทรัพย์รถยนต์ขณะติดเครื่องในรอบ 8เดือนแรกปี 2557 ที่ผ่านเกิดขึ้นแล้ว 4 ครั้งในพื้นที่กทม.ปริมณฑลและต่างจังหวัดครั้งแรกเมื่อต้นปีเป็นรถเก๋งโตโยต้า วีออส สีขาว ทะเบียน ฆภ 20 กทม.จอดรอพาแม่เดินเข้าบ้านก่อนจะเปิดประตูเอารถเข้าคนร้ายที่ดักรออยู่อาศัยจังหวะดเข้ามานั่งในรถแล้วขับออกไปทันทีเหตุเกิดในพื้นที่ สภอ.บางใหญ่นนทบุรีเจ้าหน้าที่สืบสวนติดตามจับกุมตัวมาได้โดยเด็กในรถปลอดภัย
รายที่ 2 เกิดขึ้นเดือน 6 ก.พ.เป็นรถกระบะนิสสัน นาวาร่า แบบ 4 ประตู สีเทาดำ หมายเลขทะเบียน ขจ 2610 เชียงใหม่จอดติดเครื่องทิ้งไว้ลงไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม ธนาคารกสิกรไทย สาขาโลตัสคำเที่ยง ต.ช้างเผือก ห่างกันไม่ถึง 5 เมตรถูกคนร้ายฉวยโอกาสกระโดดขึ้นรถขับหลบหนีไปยังไม่ได้รถคืน รายที่ 3 วันที่ 19 ส.ค. เกิดขึ้นในกทม.เก๋งออดี้ สปอร์ต 2 ประตู สีขาว ทะเบียน ษห 9 กทม.ตามที่มีการแถลงข่าวสามารถสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้และรายที่ 4 ล่าสุดเวลา 00.15 น. วันที่ 22 ส.ค.รถยนต์โตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ สีทอง ทะเบียนป้ายแดง ก 0565 อ่างทอง ติดเครื่องจอดหน้าบ้านพักอ.วิเศษชัยชาญลงไปเปิดประตูบ้านโจรเปิดประตูเข้ามานั่งในรถแล้วขับรถหลบหนีออกไปและถีบภรรยาเจ้าของรถตกลงข้างทางตอนนี้ยังตามไม่เจอทั้งรถและคนร้าย
อย่างไรก็ตาม แม้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ว่าที่ ผบ.ตร.คนใหม่ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมรถ ยนต์ รถจักรยานยนต์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปจร.ตร.)จะนำเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาใช้พร้อมในการสืบสวนปราบปรามการโจรกรรมรถก็ตามหากประชาชนเจ้าของรถไม่ร่วมมือไม่ระมัดระวังดูแลป้องกันทรัพย์สินตัวเองและกระทำการด้วยความประมาทรู้เม่าไม่ถึงการณ์เช่นที่ผ่านมาปัญหาการโจรกรรมรถในประเทศไทยก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขจะมัวแต่หวังพึ่งตำรวจที่ปลายเหตุอย่างเดียวคงไม่ได้ต้องป้องกันที่ต้นเหตุด้วย




