จับตาเลือกตั้งไม่มีกระแส 'บ้านใหญ่-กระสุน' ตัดสิน

น่าสนใจอย่างยิ่ง การกำหนดให้วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไปสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หลังยุบสภาเมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนด ไม่น้อยกว่า 45 วัน และไม่เกิน 60 วันหลังยุบสภา แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่เป็นการกำหนดวันเลือกตั้งท่ามกลางสู้รบไทย-กัมพูชา ยังไม่สงบ จะมีผลอย่างไรหรือไม่ กับรัฐธรรมนูญมาตราที่ว่า ต้องจัดเลือกตั้งในวันเดียวกันทั่วประเทศ
หากมีบางพื้นที่ เช่น เขตเลือกตั้งชายแดนไทย-กัมพูชา ยังเสี่ยงต่อความปลอดภัย ในการหาเสียงของผู้สมัคร สส. และการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชน จนทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นธรรมอย่างเท่าเทียมทั่วประเทศ
และมีคนไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็น “โมฆะ” ซึ่งอย่าคิดว่า เป็นไปไม่ได้? ถ้าเลือกตั้งโมฆะ ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งต้องสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์ใครรับผิดชอบ?
หรือหากจัดการเลือกตั้งไม่ได้ เนื่องจากการสู้รบยังไม่สงบ ทางออกอีกอย่าง รัฐธรรมนูญกำหนดให้ สามารถกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ได้ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่สงครามยุติลง ในกรณีที่ไม่ดันทุรัง
นี่คือ สิ่งที่คนไทยต้องรับรู้เอาไว้เพื่อความเข้าใจ หากไม่มีการเลือกตั้งตามวันเวลาที่กำหนด
กระนั้น เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดวันเลือกตั้งออกมาแล้ว และเชื่อว่าจัดการเลือกตั้งได้ ก็คงต้องยึดตามนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ประเด็นที่น่าสนใจ จึงอยู่ที่ความคาดหมายว่า พรรคการเมืองใด จะได้รับเลือกตั้งส.ส.มากที่สุดอันดับ 1 จนได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเชื่อว่าหลายคนกำลังจับตามอง
แน่นอน, หนึ่งในตัวชี้วัดที่ค่อนข้างน่าเชื่อถืออย่างหนึ่งก็คือ ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชน หรือ “ผลโพล” นั่นเอง
โดยเฉพาะล่าสุด จากการเปิดเผยผลสำรวจของ “นิด้าโพล” ศูนย์สำรวจความคิดเห็น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 4/2568” ระหว่างวันที่ 4-12 ธันวาคม 2568
ปรากฏว่า มีประเด็นที่นาสนใจเกิดขึ้น กรณีถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็น “นายกรัฐมนตรี” ในวันนี้ พบว่า
อันดับ 1 ร้อยละ 40.60 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้
อันดับ 2 ร้อยละ 17.20 ระบุ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (พรรคประชาชน)
อันดับ 3 ร้อยละ 12.32 ระบุ นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย)
อันดับ 4 ร้อยละ 10.76 ระบุ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (พรรคประชาธิปัตย์)
อันดับ 5 ร้อยละ 6.28 ระบุ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ (พรรคเพื่อไทย)
ความจริงมีจำนวนมากที่ประชาชนระบุ ในที่นี้ขอยกมาเพียง 5 รายชื่อ ที่มีโอกาสมากที่สุดเท่านั้น
อีกคำถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า
อันดับ 1 ร้อยละ 32.36 ระบุว่า ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้
อันดับ 2 ร้อยละ 25.28 ระบุ พรรคประชาชน
อันดับ 3 ร้อยละ 11.80 ระบุ พรรคประชาธิปัตย์
อันดับ 4 ร้อยละ 11.04 ระบุ พรรคเพื่อไทย
อันดับ 5 ร้อยละ 9.92 ระบุพรรคภูมิใจไทย
อันดับ 6 ร้อยละ 2.76 ระบุ พรรคเศรษฐกิจ
อันดับ 7 ร้อยละ 2.32 ระบุ พรรครวมไทยสร้างชาติ
อันดับ 8 ร้อยละ 2.00 ระบุ พรรคไทยสร้างไทย
อันดับ 9 ร้อยละ 1.12 ระบุ พรรคพลังประชารัฐ
ร้อยละ 1.36 ระบุอื่น ๆ....
จากผลสำรวจดังกล่าว ยังพบอีกว่า หากเปรียบเทียบทั้ง 4 ไตรมาส คะแนนนิยมพรรคประชาชนลดลงทั้งตัวบุคคลและพรรค แม้จะแซงทุกพรรค
ขณะที่คะแนนของกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจโหวตให้ใคร กลับพุ่งสูงในไตรมาส 3 และ 4 หลังการทำ MOA ระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ หลัง “อภิสิทธิ์” กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค พบว่าคะแนนตัวบุคคลและพรรคพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ประเด็นที่น่าวิเคราะห์ก็คือ การไม่มีผู้ใดเป็นอันดับ 1 ทั้งในคนที่ประชาชนจะสนับสนุนเป็น “นายกรัฐมนตรี” และพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุน และมีเปอร์เซ็นต์สูง แสดงว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่มีนักการเมืองคนใดที่มีกระแสแรงโดดเด่นไปกว่ากันมากนัก
ส่วนพรรคการเมือง ก็มีผลพวงตามไปด้วย ดังนั้น ณ วันนี้คะแนนที่ 2 และที่ 3 ยังมีโอกาสทองที่จะช่วงชิงคะแนนจากที่ 1 หรือคนที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกได้
ขณะที่พบว่า คะแนนนิยมของ “เท้ง” ณัฐพงษ์ และ พรรคประชาชน ลดลง ในไตรมาส 3 และ 4 แม้ยังมีกระแสนิยมนำคนอื่นและพรรคอื่นอยู่ก็ตาม แสดงว่า เริ่มมีความเสี่ยงที่จะถูกแซง และจากวันนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้ง หากยังไม่สามารถพลิกสถานการณ์จากที่เป็นอยู่ได้ โอกาสที่จะชิงอันดับ 1 ทั้งคนทั้งพรรคก็ยิ่งยากเข้าไปอีก
สำหรับกระแสพรรคประชาชนที่ตกลง ส่วนหนึ่งเนื่องจากไม่มีท่าทีที่ชัดเจนเรื่องสู้รบไทย-กัมพูชา เนื่องจากต่อต้านกระแสชาตินิยม จึงแสดงจุดยืนสนับสนุนหรือต่อต้านได้ไม่เต็มปาก
ท่ามกลางกระแสคนไทยสนับสนุนกองทัพและรัฐบาล รวมทั้งเกมหนุน “อนุทิน” เป็นนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งรัฐบาล เพื่อแลกกับส.ว.ในมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่เพียงทำให้ “ด้อมส้ม” บางส่วนผิดหวัง หากแต่ยังสร้างกระแสเอาแต่แก้รัฐธรรมนูญ ไม่สนใจประเทศชาติที่กำลังสู้รบ อีกด้วย
ส่วนกรณี “อภิสิทธิ์” และพรรคประชาธิปัตย์ ที่กระแสนิยมพุ่งแรง เนื่องจากการกลับเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค และตั้งเป้าฟื้นฟูพรรคของ “อภิสิทธิ์” แฟนคลับตอบรับเป็นอย่างดี รวมถึงตัว “อภิสิทธิ์” เอง คะแนนนิยมก็ไม่ธรรมดา
นอกจากนี้ หากวิเคราะห์ “จุดอ่อน-จุดแข็ง” ของ 3 พรรคใหญ่ ที่หลายคนเชื่อว่า มีโอกาสที่จะได้รับเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 ถึง 3 ใครเหนือกว่าใคร
เริ่มจาก “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” พรรคประชาชน ชิงประกาศก่อนใคร ทั้ง 3 คน
คนแรก ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน
คนที่สอง ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคสายเศรษฐกิจ ดาวเด่นในสภา ซึ่งจุดแข็ง คือ นโยบายการคลังและการบริหารประเทศ
คนที่สาม วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร นักเศรษฐศาสตร์-นักนโยบาย ที่มีความเชี่ยวชาญเชิงเทคนิค เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อชนชั้นกลางและภาคธุรกิจ
ขณะเดียวกัน ก็มีกลยุทธ์ในการต่อสู้เลือกตั้งครั้งนี้ โดยเน้นการสร้างความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจและการปฏิรูปโครงสร้าง ภายใต้สโลแกน “ไทยไม่เทา ไทยเท่ากัน ไทยทันโลก” เน้นกำจัดทุจริตคอร์รัปชัน การปฏิรูปกฎหมายแข่งขันทางการค้า เพื่อลดการผูกขาด และการตั้งศูนย์อาชญากรรมไซเบอร์อาเซียน
ด้านภูมิใจไทย นำโดย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย แม้ว่า จะยังไม่ประกาศรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ออกมา แต่นอกจาก “อนุทิน” แล้ว เจ้าตัวยืนยันว่า ขณะนี้มีผู้ตอบรับเป็นแคนดิเดตเพียง 1 ราย
ส่วนกระแสข่าวการทาบทาม นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เข้ามาเป็นหนึ่งใน 3 ยังอยู่ระหว่างการพูดคุย ซึ่งถ้าได้ “ศุภจี” หลายคนเชื่อว่า จะทำให้กระแสพรรคภูมิใจไทยสูงขึ้นแน่นอน เพราะมีผลงานจับต้องได้
ที่สำคัญ เริ่มมีคนยกเป้าหมาย 200 ที่นั่งมาถาม “อนุทิน” ด้วย ซึ่งเจ้าตัวหัวเราะ ก่อนย้ำว่า ไม่ใช่ตัวเลขที่ตนพูด และย้ำจุดขายของพรรคคือ “ผลงานรัฐบาล” โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และ ภาพลักษณ์ประเทศในเวทีโลก
ความจริง ถ้ามองจุดแข็งของ พรรคภูมิใจไทย ข้อแรก ก็คือ อำนาจในมือ ในฐานะรัฐบาลรักษาการณ์ ข้อที่สอง การตัดสินใจมอบอำนาจให้กองทัพอย่างเต็มที่ กรณีสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่ง “อนุทิน” ยืนยัน ไม่เคยและจะไม่ใช้ความมั่นคงของชาติเป็นเครื่องมือทางการเมือง
มาถึงพรรคเพื่อไทย ที่วันนี้อยู่ในกระแสที่ตกต่ำกว่าเดิมอย่างมาก เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรค และผลกระทบจากกรณี “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึง “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้นำจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย ต้องกลับไปรับโทษ คดีป่วยทิพย์ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ตามคำตัดสินของศาลฎีกา
พรรคเพื่อไทย เปิดตัว “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ครบทั้ง 3 คน คือ ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์, จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
ที่น่าสนใจ การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทย ชูนโยบายเร่งด่วน อาทิ หวยเกษียณ, ล้างหนี้-พักหนี้เกษตรกร 3 ปี วงเงินไม่เกิน 5 แสนบาท, รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย,โครงการบ้านเพื่อคนไทย
ที่สำคัญ กรณี “ยศชนัน” ถูกวางบทบาทเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” คนรุ่นใหม่
ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทย ย้ำบทเรียนการเอาชนะได้ ว่า ก่อนมาเป็นพรรคเพื่อไทย เคยผ่านการยุบพรรคและรัฐประหารมาแล้ว แต่ยังสามารถกลับมาชนะการเลือกตั้งได้เสมอ
อย่างไรก็ตาม ถ้าวัดกันที่จุดแข็ง เริ่มจากพรรคภูมิใจไทย เห็นชัดว่า อยู่ที่สถานะ รัฐบาลรักษาการ มีอำนาจบริหารในมือ และเข้าถึงกลไกรัฐได้ง่าย
อีกอย่าง การตัดสินใจสนับสนุนกองทัพอย่างเต็มที่เพื่อสู้รบกับกัมพูชา ท่ามกลางเสียงเรียกร้องของประชาชน ถือว่า ได้คะแนนนิยมของคนไทยผู้รักชาติ
จึงไม่แปลก ที่จะมีพลังดูดมหาศาล มี สส.สังกัดบ้านใหญ่ ไหลเข้าคึกคัก ปรากฏการณ์เช่นนี้ เคยเกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทย ในยุคที่เรืองอำนาจและมีบทบาททางการเมืองสูง
ขณะที่ จุดเสียเปรียบหรือจุดอ่อน คือปัญหาสารพัดในการบริหารประเทศ เช่น เศรษฐกิจปากท้อง ค่าครองชีพ และความไม่พอใจสะสม ที่ในฐานะรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบ
ส่วนพรรคเพื่อไทย จุดแข็ง คือฐานเสียงเดิมที่เหนียวแน่น โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน
มาถึง พรรคประชาชน จุดแข็ง ยังคงเป็นฐานเสียงคนรุ่นใหม่ กระแสต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยเฉพาะชนชั้นกลางในเมือง
ขณะจุดอ่อน อยู่ที่เขตเลือกตั้ง เพราะไม่มีผู้สมัครส.ส.บ้านใหญ่เข้าสังกัด และผู้สมัครที่มีความนิยมส่วนบุคคลสูง
อะไรไม่สำคัญเท่ากับ เวลานี้เริ่มมีปัญหาขัดแย้งภายในพรรคเกิดขึ้น โดยเฉพาะการคัดเลือกผู้สมัครส.ส.ทั้งแบบเขต และปาร์ตี้ลิสต์ไม่เป็นธรรม ถูกส.ส.พรรคออกมาแฉว่า เป็น “เผด็จการ” จนในที่สุดอาจนำไปสู่ปัญหาเลือกตั้ง
ทั้งหมดเห็นได้ชัดว่า กระแสพรรคจะไม่ใช่ตัวตัดสินชี้ขาดผลเลือกตั้ง ปี2569 เพราะแต่ละพรรคมีคะแนนนิยมไม่ทิ้งห่างกัน หากแต่อยู่ที่ผู้สมัครส.ส.เขตที่มีความเชี่ยวชาญการหาคะแนน และมีคะแนนนิยมส่วนตัวสูง และผู้สมัครสังกัดบ้านใหญ่ ที่ยกให้ทั้งเรื่องน้ำเลี้ยงและประสบการณ์ในการเลือกตั้ง เป็นตัวตัดสิน ไม่เชื่อคอยดู!?







