รับมือวิกฤติโดยปราศจากการจัดการความรู้

รับมือวิกฤติโดยปราศจากการจัดการความรู้

แทบทุกคนเคยได้ยินคำว่า “การจัดการความรู้” แต่มีหลายคนที่รู้จักคำนี้ โดยไม่ทราบว่าจริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่ จึงพบเห็นกันเสมอว่า การรับมือวิกฤติต่างๆ กล่าวไม่ได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า

มีการจัดการความรู้อย่างจริงจัง ตีความสถานการณ์วิกฤติที่พบเจอจากความรู้ที่ไม่ครบถ้วน จนกลายเป็นภาพวิกฤติที่บิดเบือนไปจากที่เป็นจริง 

ต้นเหตุจริงของวิกฤติไม่ถูกนำมาหารือกัน แต่เรื่องสมมุติเกี่ยวกับวิกฤติกลายเป็นข่าวใหญ่โตต่อเนื่องกันไปจนกว่าจะมีวิกฤติใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม ก็หันมาสมมุติกันเรื่องใหม่ วิกฤติเก่ายังอยู่ แต่แทบทุกคนสมมุติกันไปเองว่าวิกฤติเดิมจบลงแล้ว ปัญหาเดิมๆ วนเวียนจึงเกิดขึ้นใหม่เป็นวัฏจักร โดยไม่มีใครจดจำว่าวิกฤติไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ผู้คนหันไปใส่ใจกับวิกฤติใหม่ 

โลกวันนี้สลับซับซ้อนเกินกว่าจะแก้ไขวิกฤติได้โดยแค่ใช้สามัญสำนึก วิกฤติยิ่งซับซ้อนมากเท่าใด การจัดการความรู้เพื่อปัดเป่าวิกฤตินั้นก็ต้องยิ่งมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเท่านั้น

ทบทวนพื้นฐานกันอีกครั้งว่า การจัดการความรู้ Knowledge Management เป็นกระบวนการที่องค์กรใช้สร้าง รวบรวม จัดเก็บและแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อให้บุคลากรสามารถเข้าถึงความรู้ที่จำเป็นได้อย่างรวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ใช้ช่วยตัดสินใจได้จริง ไม่ใช่แค่รวบรวมวิธีทำงานต่างๆ เป็นคู่มือทำงาน เป็นหน้าเว็บ หรือแม้แต่จัดทำเป็นแอป

ปี 2568 เครือข่ายจัดการความรู้ประเทศไทย Thailand Knowledge Management Network ประกาศให้เป็น “ปีแห่งวัฒนธรรมการจัดการความรู้” คือ เชิญชวนให้ยอมรับให้การสร้าง รวบรวม จัดเก็บและแลกเปลี่ยนความรู้ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริงกระทำกันเป็นประจำ

จนกระทั่งกลายเป็นวัฒนธรรม เพราะพบว่าบ้านเมืองกำลังเผชิญหน้ากับสารพัดวิกฤติ และการรับมือวิกฤติโดยปราศจากความรู้เป็นความสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งสำหรับทุกองค์กร

องค์กรที่ไม่มีระบบจัดเก็บและแลกเปลี่ยนความรู้ มีเวลาในการตัดสินใจเฉลี่ยช้ากว่าองค์กรที่มีการจัดการความรู้ถึง 40-60% และมีอัตราความผิดพลาดซ้ำสูงขึ้นกว่า 2 เท่า ต้นทุนในการแก้ไขวิกฤติที่จ่ายกันแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำและจ่ายซ้ำทุกปี ต้นทุนจึงเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30-50%

เมื่อเทียบกับองค์กรที่มีการจัดการความรู้อย่างจริงจัง การฟื้นตัวจากวิกฤติยาวนานกว่าที่ควรจะเป็นอย่างน้อย 40% ซึ่งเราน่าจะคุ้นเคยกับเหตุการณ์ทำนองนี้กันดี เพราะวิกฤติเดิมๆ หมุนเวียนมาออกฤทธิ์ออกเดชเป็นประจำ

ถ้าในยามวิกฤติจะตัดสินใจอะไรต้องรอให้ “คนรู้เรื่อง” ที่มีอยู่คนสองคนเป็นคนบอกว่าจะไปทางไหนกันดี ถ้าจะหาข้อมูลเกี่ยวกับวิกฤตินั้น กลับพบว่ามีอยู่แต่กระจัดกระจายไปอยู่ที่แผนกนั้นบ้าง แผนกนี้บ้าง แถมข้อมูลยังแตกต่างกันอีก ยิ่งวิกฤติยิ่งพบความผิดพลาดซ้ำซากและรุนแรงขึ้นอีก ที่แย่ที่สุดคือ รู้ว่าทำแล้วแก้วิกฤติไม่ได้ แต่ก็ยังทำเหมือนเดิมต่อไป เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรใหม่แทนวิธีเดิมที่เคยทำมา 

เมื่อบุคลากรคนสำคัญไม่อยู่ในยามวิกฤติก็หาใครมาแทนไม่ได้ ต้องเอาคนไม่รู้ไปรับมือวิกฤติที่ตนไม่รู้ อาการเหล่านี้บอกว่ากำลังรับมือวิกฤติโดยปราศจากการจัดการความรู้ มีแค่โชคชะตาเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าจะรอดวิกฤติไปได้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องยากเย็นที่จะมีการจัดการความรู้

ขอเพียงแค่เดินหน้าตาม 4 ขั้นตอนนี้ให้ได้เท่านั้น ท่านก็จะไม่โดดเดี่ยวในการรับมือวิกฤติ แต่จะมีเพื่อนสนิทที่ชื่อว่า “การจัดการความรู้” อยู่ข้างเคียงไปจนพ้นวิกฤติ 

1.ระบุให้ได้ว่าเรื่องนี้ ความรู้ที่ต้องการคืออะไร ใครมีความรู้นี้อยู่บ้างและใครบ้างที่จะต้องได้รับความรู้เรื่องนี้ 2.รวมทีมคนรู้เรื่องจากทุกส่วนขององค์กรมาช่วยกันจัดการวิกฤติ อย่าเป็นพระเอกคนเดียวเด็ดขาด เพราะความรู้ที่มีอยู่ในทีมนั้นครอบคลุมกว่าใครคนใดคนหนึ่งแน่ๆ 

3.เมื่อใช้ความรู้นั้นในการแก้ไขวิกฤติไปแล้วได้ผลมากน้อยแค่ไหน ให้ทบทวนในทันทีว่าอะไรทำได้ดี อะไรต้องปรับเปลี่ยน แต่ไม่ใช่ไล่หาแพะรับบาป 4.ใช้ทุกช่องทางดิจิทัลกระจายความรู้ที่จำเป็นสำหรับการตัดสินใจในการงานออกไปให้กว้างขวางที่สุด ไม่ต้องรอซื้อซอฟต์แวร์แพงๆ

ทำแค่นี้ ท่านจะมีภูมิคุ้มกันทางความรู้ที่ช่วยให้ยืนหยัดได้อย่างมั่นคง แม้ในวันที่โลกเปลี่ยนแปลงเร็วที่สุด