เปิดข้อเท็จจริงทางกฎหมาย - ประวัติความเป็นมาของการเลี้ยงปลาหมอคางดำในประเทศไทย

เปิดข้อเท็จจริงทางกฎหมาย - ประวัติความเป็นมาของการเลี้ยงปลาหมอคางดำในประเทศไทย

“เปิดข้อเท็จจริงทางกฎหมายและประวัติศาสตร์ ‘ปลาหมอคางดำ’—จากปลาสวยงามสู่พันธุ์รุกราน” ก่อนปี 2561 การเลี้ยงปลาหมอคางดำยังไม่ผิดกฎหมาย เนื่องจากถูกจัดอยู่ในกลุ่มปลาสวยงามทั่วไป แต่หลังจากมีการประกาศให้เป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 จึงถูกห้ามนำเข้า เพาะเลี้ยง หรือครอบครอง ส่งผลให้เกิดการปล่อยปลาลงแหล่งน้ำธรรมชาติจนแพร่กระจายทั่วประเทศ นักวิชาการชี้ จำเป็นต้องทบทวนบริบททางกฎหมาย ประวัติความเป็นมา และพฤติกรรมผู้เลี้ยง เพื่อวางนโยบายแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย

การแพร่กระจายของ ปลาหมอคางดำ (Anabas testudineus hybrid) ในประเทศไทยเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากทั้งภาครัฐ นักวิชาการ และผู้ประกอบการด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เนื่องจากมีผลกระทบต่อระบบนิเวศและเศรษฐกิจท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การทำความเข้าใจถึง บริบททางกฎหมายและประวัติความเป็นมาของการนำเข้าและการเลี้ยงปลาชนิดนี้ เป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์ต้นตอของปัญหาอย่างถูกต้อง
 
1. สถานะทางกฎหมายก่อนปี พ.ศ. 2560
ก่อนปี พ.ศ. 2560 การนำเข้าและการเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ ยังไม่อยู่ภายใต้ข้อห้ามทางกฎหมาย เนื่องจากในขณะนั้น ปลาชนิดนี้มีชื่อสามัญว่า “ปลาหมอสีคางดำ” ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มปลาสวยงามที่นิยมเลี้ยงโดยทั่วไป ไม่ได้ถูกประกาศให้เป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นที่ต้องควบคุมหรือห้ามเพาะเลี้ยง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจึงยังมองว่าการเลี้ยงปลาชนิดนี้เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย

2. การเปลี่ยนแปลงสถานะทางกฎหมายในปี พ.ศ. 2561
ต่อมาในปี พ.ศ. 2561 ได้มีการประกาศกฎหมายและข้อบังคับที่กำหนดให้ “ปลาหมอคางดำ” เป็นสัตว์น้ำต่างถิ่น (Alien Species) ที่ห้ามนำเข้า เพาะเลี้ยง หรือครอบครอง โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ
 
จากการออกกฎหมายดังกล่าว ส่งผลให้ผู้เลี้ยงปลาสวยงามจำนวนมากเกิดความตื่นตระหนก และบางส่วนได้ นำปลาที่เลี้ยงไว้ไปปล่อยลงในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยไม่ตระหนักถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ปลาหมอคางดำเริ่มแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในหลายพื้นที่ของประเทศ


3. การปรับชื่อสามัญและความเข้าใจของสาธารณะ
เพื่อป้องกันความสับสนและลดการเลี้ยงปลาชนิดนี้ในฐานะปลาสวยงาม ภาครัฐได้มีการ เปลี่ยนชื่อสามัญจาก “ปลาหมอสีคางดำ” เป็น “ปลาหมอคางดำ” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นมา การเปลี่ยนชื่อดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการจัดการสัตว์น้ำต่างถิ่น และสร้างความเข้าใจแก่สาธารณชนว่าปลาชนิดนี้ไม่ควรถูกเพาะเลี้ยงหรือเพื่อการค้าขายทั่วไปอีกต่อไป
 
4. พฤติกรรมการลักลอบเพาะเลี้ยงและผลกระทบทางเศรษฐกิจ
แม้จะมีกฎหมายห้ามเพาะเลี้ยง แต่ยังคงพบว่ามีผู้ประกอบการบางราย ลักลอบเพาะเลี้ยงในบ่อปิด เพื่อวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์หรือเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยจากภาครัฐ กรณีเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และกลไกการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่การเลี้ยงปลาสวยงามเป็นอาชีพหลักของชุมชน
 

5. ข้อสังเกตเชิงนโยบาย ในเชิงวิชาการ การนำเข้าหรือเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ ก่อนปี พ.ศ. 2561 ไม่ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เนื่องจากยังไม่มีข้อบังคับควบคุมในขณะนั้น สถานการณ์ดังกล่าวคล้ายกับกรณีของปลาหมอสีบัตเตอร์ (Butter cichlid) ซึ่งเคยได้รับความนิยมในตลาดปลาสวยงามเช่นกัน และต่อมาถูกระบุว่าเป็นอีกหนึ่งชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่เริ่มแพร่กระจายในธรรมชาติ
 
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในปัจจุบันจึงควรอยู่บนพื้นฐานของ ข้อมูลข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ กฎหมาย และพฤติกรรมของผู้เลี้ยงในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้การกำหนดนโยบายมีความเป็นธรรม ครอบคลุม และสามารถลดผลกระทบต่อทั้งระบบนิเวศและผู้ประกอบการได้อย่างยั่งยื