กษ.เข้มมาตรการเชิกรุกปราบยางเถื่อน กยท.มั่นใจส่งผลดีราคา มูลค่า ศก.

กษ.เข้มมาตรการเชิกรุกปราบยางเถื่อน กยท.มั่นใจส่งผลดีราคา มูลค่า ศก.

ก.เกษตรฯ เข้มมาตรการเชิงรุก ปราบยางเถื่อน ใช้กลไกกฎหมาย ให้สอดคล้องสถานการณ์ อุดช่องโหว่ลักลอบนำเข้า หลีกเลี่ยงภาษีส่งออก กยท.มั่นใจส่งผลดี เสถียรภาพราคา มูลค่าทางเศรษฐกิจ รายได้ประเทศ

ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ประกาศแนวทางการขับเคลื่อน และสานต่อนโยบายทำสงครามกับการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรเถื่อน โดยมี 5 หน่วยงานหลัก ภายใต้สังกัด ประกอบด้วย การยางแห่งประเทศไทย กรมวิชาการเกษตร กรมประมง กรมปศุสัตว์ และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ รับมอบนโยบาย 

นายเพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า มาตรการดังกล่าว เป็นการทบทวน ปรับปรุงกฎหมาย ประกาศ และระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพื่ออุดช่องโหว่ในทุกๆ ด้าน ควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการในเชิงรุก เพิ่มความเข้มข้นในการปราบปรามสินค้าเกษตรต่างๆ รวมทั้งการลักลอบส่งออกยางโดยไม่เสียภาษีด้วย

เพื่อให้การบริหารจัดการยางภายในประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเป็นธรรมให้เกษตรกรชาวสวนยาง และสร้างเสถียรภาพราคายางอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มบทลงโทษผู้ลักลอบนำเข้า-ส่งออกยางพาราที่หนักขึ้น ด้วยมาตรการยึดทรัพย์โดยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ด้วย หากมีความผิดจริง

ทั้งนี้ ในปี 2566 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรฯ ขณะนั้น ได้จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช หรือ ฉก.พญานาคราช เพื่อป้องกันและปราบปรามสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย รวมทั้งยางพารา ได้ปราบปรามการลักลอบนำเข้ายางพาราผิดกฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อลดผลกระทบด้านราคายางที่ตกต่ำ

เมื่อใช้การปราบปรามยางเถื่อน ควบคู่กับการดำเนินมาตรการอื่นๆ ทำให้ราคายางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เคยขึ้นสูงสุดเกือบแตะ 3 หลักต่อกิโลกรัมในช่วงปี 2567  

อย่างไรก็ตาม ในการปราบปรามยางเถื่อนครั้งนั้น แม้จะมีมูลค่าความเสียหายกว่า 8,000 ล้านบาท แต่ไม่สามารถดำเนินคดีได้ เนื่องจากมีช่องว่างของกฎหมาย หลักฐานไม่แน่นหนาเพียงพอ จำเป็นต้องยกประโยชน์ให้กับผู้ลักลอบนำเข้ายางเถื่อนดังกล่าว

ดังนั้น จึงมีการนำข้อมูลมาถอดบทเรียน เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด อุดช่องว่าง ปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และเป็นอุปสรรคต่อการปราบปรามจับกุมยางเถื่อน

พร้อมปรับกลยุทธ์ใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมว.เกษตรฯ ได้ขับเคลื่อนประกาศสงครามกับลักลอบนำเข้า-ส่งออกสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย โดยเฉพาะยางพาราอย่างเข้มข้น ภายใต้หน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช ขึ้นมาอีกครั้ง

“กยท.ดำเนินงานภายใต้ พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย พ.ศ.2558 เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่สนับสนุน ไม่มีอำนาจในการปราบปรามโดยตรง เพราะพ.ร.บ.ควบคุมยาง กรมวิชาการเกษตร เป็นหน่วยงานที่ดูแล ดังนั้น การปราบปรามยางเถื่อนจึงต้องดำเนินการภายใต้หน่วย ฉก.พญานาคราช ซึ่งหน่วยเฉพาะกิจที่สนธิกำลังทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) ปปง. หน่วยงานภายในกระทรวงเกษตรฯ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมี กยท.ร่วมอยู่ด้วย ดังนั้นในการปราบปรามยางเถื่อนครั้งนี้ จะมีประสิทธิภาพ เห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างแน่นอน และผู้ที่กระทำผิด นอกจากจะถูกลงโทษตามกฎหมายแล้ว อาจถูกยึดทรัพย์อีกด้วย” นายเพิก กล่าว

รักษาการผู้ว่าการ กยท.กล่าวต่อว่า กยท.ได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อให้การปราบปรามยางเถื่อนเห็นผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการออกโฉนดต้นยาง จะเป็นอีกมาตรการสำคัญ ในการแก้ปัญหาการลักลอบน้ำเข้ายางเถื่อนตามแนวชายแดน ได้อย่างครอบคลุม เพราะโฉนดต้นยางจะทำให้สามารถระบุพิกัดที่ตั้งของต้นยาง ปริมาณผลผลิต และเจ้าของได้อย่างแม่นยำ ป้องกันการลักลอบนำเข้ายางมาสามารถสวมสิทธิ์แหล่งที่มาของยางได้ 

ในขณะเดียวกัน กระทรวงเกษตรฯ ยังได้ออกประกาศเขตควบคุมยาง โดยกำหนดให้การเคลื่อนย้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนที่ติดประเทศเพื่อนบ้าน จะต้องจัดทำรายงานการซื้อขายยาง และขออนุญาตจากกรมวิชาการเกษตรอีกด้วย

กษ.เข้มมาตรการเชิกรุกปราบยางเถื่อน กยท.มั่นใจส่งผลดีราคา มูลค่า ศก.

นอกจากการดำเนินการปราบปรามยาง การลักลอบนำเข้ายางจากประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ยังจะดำเนินการกับผู้ที่ลักลอบส่งออกยางโดยไม่เสียภาษีควบคู่กันไปด้วย จากเดิมที่ไม่เคยดำเนินในเรื่องนี้เลย  ซึ่งการส่งออกจะต้องเสียภาษี หรือเงินค่าธรรมส่งออกยาง (CESS) คาดว่ามีการลักลอบส่งออกยางโดยไม่เสียภาษีประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี ทำให้ กยท.ต้องสูญเสียเงินพัฒนายางพาราไทยทั้งระบบ ซึ่งค่าธรรมเนียมส่วนนี้ จะถูกนำไปใช้เป็นค่าบริหารจัดการของ กยท.ไม่เกิน 10%  สนับสนุนส่งเสริมการปลูกยางพาราใหม่ทดแทนยางพาราที่มีอายุมาก ไม่เกิน 40% 

ส่งเสริมสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง และผู้ประกอบกิจการยาง เพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงคุณภาพผลผลิต การผลิต การแปรรูป การตลาด และอุตสาหกรรมแปรรูปยางขั้นต้นอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง อุตสาหกรรมไม้ยาง การรวบรวมผลผลิต และการดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องกับยางพารา ไม่เกิน 35% สนับสนุนด้านวิชาการ การวิจัยและพัฒนายาง ไม่เกิน 5%  สวัสดิการแก่ชาวสวนยาง ไม่เกิน 7% และส่งเสริม สนับสนุนสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ไม่เกิน 3%

กยท.มั่นใจว่า การประกาศสงครามกับผู้ลักลอบนำเข้า-ส่งออกยางเถื่อนในครั้งนี้ จะมีส่วนสำคัญ ทำให้ราคายางพาราของไทยมีเสถียรภาพ สร้างรายได้ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ หากราคายางเพิ่มขึ้น 1 บาทต่อกิโลกรัม จะทำให้ประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 มีราคาประมาณ 62 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อมีการปราบปรามอย่างจริงจัง 

"ผนวกกับการดำเนินมาตรการอื่นๆ เกี่ยวกับยางพารา ที่มีความชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเพิ่มการใช้ยางในประเทศ การผลักดันการใช้ราคาอ้างอิงประเทศไทยในการซื้อขายยาง  มาตรการหยุดกรีดยาง มาตรการชะลอการขาย เป็นต้นแล้ว จะทำให้ราคายางทะลุ 3 หลักต่อกิโลกรัมอีกครั้ง ภายในปีนี้หรือต้นปีหน้าอย่างแน่นอน" รักษาการแทนผู้ว่า กยท.ระบุ