กยท.มั่นใจมูลค่ายางปี 68 แตะ 3 แสนล้าน จ่อเอ็มโอยูหน่วยงานรัฐ เพิ่มปริมาณการใช้

กยท.คาดปลายปี 68 มูลค่ายางพาราไทยไม่ต่ำ 3 แสนล้าน เดินหน้าสร้างเสถียรภาพราคา เพิ่มการใช้ในหน่วยงานรัฐ ทั้งล้อยาง และใช้ในโครงข่ายบริหารจัดการน้ำ
นายเพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ยางพาราของประเทศไทย จากการปรับอัตราภาษีสินค้านำเข้า (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐอเมริกา สำหรับประเทศไทยในอัตรา 19% ว่า เกษตรกรชาวสวนจะไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีดังกล่าว เนื่องจากเกษตรกรขายวัตถุดิบ ไม่เข้าข่ายสินค้าที่จะต้องเก็บภาษี
ส่วนที่ได้รับผลกระทบ จะเป็นผู้ประกอบกิจการแปรรูปยางพารา เช่น ยางล้อ ถุงมือยาง เป็นต้น ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้น แต่ผู้ประกอบกิจการแปรรูปยางพาราในประเทศอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบ เช่น อินโดเนีย หรือมาเลเซียเอง สหรัฐอเมริกาก็เก็บอัตราภาษีสินค้านำเข้า 19% เท่ากับประเทศไทย ในขณะที่ประเทศเวียดนามถูกเรียกเก็บถึง 20%
ดังนั้น ไม่ต้องกังวลในประเด็นการย้ายฐานการผลิตสินค้าของผู้ประกอบกิจการแปรรูปยางในไทยไปประเทศอื่น เพราะหลายประเทศถูกเรียกเก็บอัตราภาษีใกล้เคียงกัน และการย้ายฐานการผลิตต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล
ขณะที่เกษตรกร จะถูกผู้ประกอบกิจการแปรรูปยางพารา กดราคารับซื้อยางพารา จากกรณีนี้หรือไม่นั้น รักษาการผู้ว่า กยท.ชี้ว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้เช่นกัน เพราะถ้ากดราคารับซื้อมาก เกษตรกรสามารถเลือกที่จะส่งออกวัตถุดิบแทนได้ ประกอบกับในปัจจุบัน กยท.สามารถบริหารจัดการยางได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
จะเห็นได้จากที่ผ่านมาราคายางเพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ จากเดิมราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 ราคาเพียง 49 บาทต่อกิโลกรัม ยางก้อนถ้วยราคาไม่เกิน 18 บาทต่อกิโลกรัม ในปี 2567 ยางแผ่นรมควันชั้น 3 เพิ่มขึ้นในระดับราคาไม่ต่ำกว่า 60 บาทต่อกิโลกรัม เช่นเดียวกับยางก้อนถ้วย ราคาไม่ต่ำกว่า 30 บาทต่อกิโลกรัม โดยไม่ใช้งบประมาณจากรัฐบาลเข้ามาแทรกแซงราคา หรือชดเชยรายได้เหมือนที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ต้องใช้งบประมาณรัฐมากกว่า 150,000 ล้านบาท เพื่อแทรกแซงราคายาง และมาตรการชดเชยรายได้ แต่สามารถขายยางได้คิดเป็นมูลค่าปีละประมาณ 250,000 ล้านบาทเท่านั้น ในปัจจุบันได้มีการปรับการบริหารจัดการยาง โดยใช้กลไกการตลาด ไม่ใช้งบประมาณรัฐเข้ามาแทรกแซง ได้ประสบผลสำเร็จอย่างน่าพอใจ ราคายางได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ
ในปี 2567 สามารถขายยางได้ คิดเป็นมูลค่า เพิ่มขึ้นกว่า 100,000 ล้านบาท ในปีนี้ก็เช่นเดียวกัน คาดว่าสิ้นปี 2568 มูลค่าการขายยางของไทยโดยรวม จะไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านบาท อย่างแน่นอน
รักษาการผู้ว่าการ กยท.ระบุด้วยว่า กยท.ใช้กลไกการตลาดในการแก้ไขปัญหา เพื่อสร้างเสถียรภาพในยางพารา โดยได้ผลักดันให้มีการนำราคาอ้างอิงยางพาราของประเทศไทย ไปใช้ในการซื้อขายแทนการใช้ราคาอ้างอิงจากตลาดซื้อขายยางพาราล่วงหน้าของต่างประเทศ ซึ่งเป็นราคาที่ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
แต่ราคาอ้างอิงของประเทศไทยเป็นราคาที่สะท้อนต้นทุน และสถานการณ์ที่แท้จริงจากตลาดซื้อขายยางกว่า 600 ตลาดทั่วประเทศไทย สร้างความเป็นธรรมให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง นอกจากนี้ ยังจับมือกับประเทศไอวอรี่โคสต์ ผู้ผลิตยางรายใหญ่ของแอฟริกา ใช้ราคาอ้างอิงประเทศไทยในการซื้อขายยางพาราอีกด้วย
สำหรับสถานการณ์ยางพาราไทยในครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากมาตรการ "งดกรีดยาง 1 เดือน" ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จะมีผลในช่วงครึ่งปีหลัง คือ ปริมาณยางหายไปจากตลาดประมาณ 200,000 ตัน ประกอบกับในช่วงนี้ เป็นฤดูฝน จะกรีดยางได้ลดลง เมื่อปริมาณยางมีน้อย จะทำให้ราคาเพิ่มขึ้นตามกลไกการตลาด
ในขณะเดียวกัน กยท.ยังนำโครงการชะลอการขายยางมาใช้เป็นอีกมาตรการหนึ่ง ในการควบคุมปริมาณผลผลิตยางพาราที่เข้าสู่ตลาดให้เหมาะสมกับปริมาณการใช้ยาง คาดว่าจะสามารถดูดซับปริมาณยางได้อีกประมาณ 200,000 ตัน โดยนำไปผลิตเป็นยางแท่ง STR ลดความผันผวนด้านราคา ทำให้ราคายางพารามีเสถียรภาพ
นอกจากนี้ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมว.เกษตรและสหกรณ์ ยังเตรียมประสานกับหน่วยงานราชการทุกหน่วยงาน ให้ใช้ยางล้อมาตรฐานระดับโลก แบรนด์ “Greenergy Tyre” ของ กยท.ในการเปลี่ยนยางล้อรถยนต์ราชการ เมื่อครบอายุการใช้งาน คาดว่าจะเริ่มส่งยางล้อให้ได้ภายในปลายปีนี้อย่างแน่นอน
รวมทั้งยังเตรียมลงนามความร่วมมือ (MOU) กับกรมชลประทาน นำท่อยางพาราไปใช้ระบบบริหารจัดการน้ำ ซึ่งขณะนี้ กยท.มีเทคโนโลยีการผลิตท่อยางที่ใช้ยางพาราเป็นส่วนผสมหลัก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 เซ็นติเมตร เพื่อใช้ในการส่งน้ำทดแทนการส่งน้ำโดยใช้คลองส่งน้ำ จะสร้างเป็นโครงข่ายบริหารจัดการน้ำ เพื่อส่งน้ำให้ถึงแปลงเกษตรกร หรือโรงงานอุตสาหกรรม ช่วยลดการสูญเสียน้ำ และที่สำคัญมีความแข็งแรง ความยืดหยุ่นสูง ทนต่อแรงดัน และความร้อนสูง รวมทั้งยังสามารถนำไปใช้เป็นข้อต่อสำหรับท่อส่งน้ำเหล็ก หรือท่อพีวีซี เพื่อให้ท่อมีความยืดหยุ่น สามารถส่งน้ำได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ คาดว่าสามารถลงนามใน MOU ได้ภายในปีนี้เช่นกัน ซึ่งจะสามารถเพิ่มได้ใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐตามนโยบายของรัฐบาลได้ตามเป้าหมาย
"จากปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมด มั่นใจได้ว่า ภายในปลายปีนี้ หรือต้นปี 2569 ราคายางจะมีเสถียรภาพมากขึ้น และมีโอกาสสูงที่จะได้เห็นราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 ทะลุเลข 3 หลัก อย่างแน่นอน" รักษาการผู้ว่า กยท.ระบุ







