แพทย์ชี้ ศพทหารกัมพูชาชายแดน ไม่เสี่ยงโรคระบาด เกิน 48 ชม.ย่อยสลาย

นักวิชาการแพทย์ศาสตร์ มธ. ยืนยันศพทหารกัมพูชาชายแดน ไม่เสี่ยงเกิดโรคระบาด เกิน 48 ชม.ย่อยสลาย เทียบเคียงสึนามิ แม้คนเสียชีวิตมาก แต่ไม่เกิดมลพิษ แค่ส่งกลิ่นรบกวน
จากกรณีที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า ได้รับรายงานสถานการณ์ปัญหากลิ่นศพทหารกัมพูชา บริเวณแนวชายแดน จากการที่รัฐบาลและกองทัพกัมพูชา ได้ปล่อยศพทหารจำนวนมากไว้ในพื้นที่การสู้รบ โดยไม่จัดการหรือกำจัดอย่างเหมาะสม อาจส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพ และสภาพจิตใจของทหารไทยที่อยู่ในพื้นที่แนวหน้า รวมถึงอาจมีประชาชนเกิดการหวั่นวิตกต่อมลภาวะต่างๆ ที่เป็นพิษ เช่น การแพร่ระบาดของเชื้อโรคที่มากับลำน้ำ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง
นพ.ทศนัย พิพัฒน์โชติธรรม อาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ระบุว่า สถานการณ์ศพชายแดนไม่ได้มีความน่ากังวลอย่างที่คิด จึงไม่อยากให้ประชาชนเกิดความหวั่นวิตกเกินความเป็นจริง เพราะหากเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิ เมื่อปี 2547 แม้จะมีผู้คนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้นำมาสู่การแพร่ระบาดของเชื้อโรค หรือมลพิษที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด
สิ่งที่หลงเหลือภายในร่างกายมนุษย์ หลังจากเสียชีวิต คือไวรัสและแบคทีเรีย กรณีของไวรัสโดยส่วนใหญ่ เมื่อระยะเวลาผ่านไปเกินกว่า 48 ชั่วโมงก็จะสูญสลายหายไป อีกทั้งไม่สามารถติดเชื้อจากระยะไกลได้ ต้องมีการสัมผัสแบบใกล้ชิดเท่านั้น
และกรณีของแบคทีเรีย คือสิ่งที่ทำให้ร่างกายเกิดการย่อยสลายจนเน่าเปื่อย โดยจะสิ่งกลิ่นเหม็นให้กับผู้คนที่อยู่ใกล้ ซึ่งสิ่งนี้กำลังส่งผลกระทบต่อทหารไทยที่อยู่ด่านหน้าบริเวณชายแดนกัมพูชาอยู่ ณ ขณะนี้
“หลังจากเสียชีวิต ศพจะเน่ามากๆ อยู่ราว 3 -5 วัน หรือที่ภาษาทั่วไปเรียกว่าขึ้นอืด ทำให้หลายวันที่ผ่านมา ผู้คนกล่าวถึงกันมาก ในเรื่องกลิ่น หลังจากนั้นเมื่อโดนแดด ศพก็จะเริ่มแห้ง ในระยะนี้ กลิ่นจะเริ่มลดลงมากกว่าช่วงแรก แต่จะมีเรื่องของหนอนแมลง ที่เข้ามาตอม ราว 1- 2 สัปดาห์ แล้วเนื้อเยื่อจะค่อยๆ สลายๆ จนเริ่มเห็นกระดูก
เมื่อเดินทางเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3- 4 ศพจะเริ่มแห้งเหลือแต่โครงกระดูก กลิ่นก็จะค่อยๆ หายไป เว้นแต่อยู่ในระยะที่ใกล้มากๆ ภาวะกลิ่นเหม็นเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H₂S) หรือที่รู้จักกันในชื่อก๊าซไข่เน่า จากกระบวนการย่อยสลาย หากเกิดในพื้นที่ปิด อับลม ไม่มีอากาศถ่ายเทอาจเกิดอันตรายแก่คนที่อยู่ใกล้ได้ แต่ตรงพื้นที่ชายแดนเข้าใจว่าเป็นที่โล่ง มีอากาศถ่ายเท จึงไม่น่ากังวลอะไร” นพ.ทศนัย กล่าว
นพ.ทศนัย ระบุด้วยว่า แม้จะมีหนอน แมลง จำนวนมากที่ตอมศพ แต่ส่วนตัวมองว่าไม่เสี่ยงต่อการเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคผ่านพาหะเหล่านั้น เพราะหากเชื่อในสมมติฐานที่ว่า ผู้ที่จะมาเป็นทหารอาชีพ ย่อมมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีประวัติเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ก็ไม่มีความน่ากังวล เพราะเมื่อศพเน่าสลาย ก็จะมีเชื้อแบคทีเรียเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่นที่เสียชีวิต และเน่าเหมือนกัน ซึ่งพบได้ในสิ่งแวดล้อมทั่วไป
ทั้งนี้ การเสียชีวิตจากการปะทะสู้รบ แตกต่างจากการเสียชีวิตจากโรคติดต่อ เช่น การเกิดอหิวาตกโรคในอดีตที่เป็นเชื้อก่อโรค และมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากในพื้นที่เดียวกัน และไม่ได้มีการจัดการอย่างถูกสุขลักษณะ ก็จะสุ่มเสี่ยงต่อการมีพาหะอย่างแมลง หรือหนอน ที่นำไปสู่การแพร่ระบาดเชื้อโรคในวงกว้าง รวมไปถึงการปนเปื้อนลงสู่แม่น้ำ จนประชาชนไม่สามารถอุปโภค บริโภคน้ำได้
อย่างไรก็ตาม การปนเปื้อนเชื้อโรคลงสู่แม่น้ำ จนส่งผลกระทบในวงกว้าง ก็อาจจะต้องเกิดจากจำนวนศพที่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เดียวกัน และไม่ห่างไกลจากแม่น้ำมากนัก ซึ่งในกรณีของชายแดนกัมพูชาไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“จึงอยากจะฝากไปยังประชาชนว่า ไม่ต้องวิตกกังวลมากเกินไป และหากเจอศพที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งสามารถจัดการได้ ก็สามารถจัดการได้ผ่านวิธีการที่ดีที่สุด คือการกลบฝัง หรือโรยปูนขาว แต่ในแง่ของหน่วยงานรัฐ ส่วนตัวยอมรับว่ามีความเห็นใจ เพราะเหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นในไทย หากเกิดในพื้นที่เรา หน่วยงานก็จะต้องเข้าไปจัดการอยู่แล้ว”
“จึงเห็นใจว่าหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ไม่สามารถดำเนินการจัดการศพข้ามเขตแดนได้ นอกจากการแจกหน้ากาก N 95 เพื่อบรรเทามลภาวะจากกลิ่นเน่าเหม็น หรือแจ้งเฝ้าระวังในมิติอื่นๆ ให้ประชาชนทราบ อย่างไรก็ตาม แม้จะบอกว่ายังไม่มีสิ่งที่น่ากังวล แต่เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น ในระยะถัดไปอาจจะจัดให้มีการตรวจวัดคุณภาพน้ำหรือยืนยันด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ในด้านอื่นๆ เพื่อความสบายใจได้” นพ.ทศนัย กล่าว







