ไทยรับมือภาษีทรัมป์! ปกป้องเกษตรกร รักษาขีดความสามารถการค้า

ไทยรับมือภาษีทรัมป์! ปกป้องเกษตรกร รักษาขีดความสามารถการค้า

ไทยรับมือภาษีทรัมป์! ปกป้องเกษตรกร รักษาขีดความสามารถการค้า เกษตรฯผนึกกำลังทุกภาคส่วน เปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐอย่างมีเงื่อนไข ช่วยเกษตรกรไทยปรับตัวได้

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ในฐานะโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฝ่ายประจำ) เปิดเผยถึงผลการเจรจาภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยที่อัตราร้อยละ 19 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป โดยอัตราดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากความพยายามในการเจรจาอย่างเข้มข้นของฝ่ายไทยที่ผ่านมา

ซึ่งเป็นผลจากความพยายามในการเจรจาของฝ่ายไทยกับสหรัฐฯ ที่ผ่านมา โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบด้วย สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมวิชาการเกษตร และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ได้เข้าร่วมในการกำหนดท่าทีภาคการเกษตร ร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายพิชัย ชุณหวชิร) และกระทรวงพาณิชย์ในฐานะฝ่ายเลขานุการ
ในนการเจรจาที่ผ่านมา

ไทยรับมือภาษีทรัมป์! ปกป้องเกษตรกร รักษาขีดความสามารถการค้า

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอท่าทีและยึดมั่นในหลักการสำคัญเพื่อปกป้องภาคการเกษตรของประเทศอย่างถึงที่สุด คือ 1.ต้องเกิดผลกระทบน้อยที่สุด การเปิดตลาดใดๆ ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านราคาและการรับซื้อผลผลิตของเกษตรกรในประเทศ 2.ต้องมีมาตรการรองรับที่ชัดเจน รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการที่พร้อมจะนำมาใช้ได้ทันที เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเกษตรกรในสินค้าแต่ละรายการ และ 3.ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบของไทย การดำเนินการทุกขั้นตอนต้องสอดคล้องกับกฎหมายและกฎระเบียบของไทย โดยเฉพาะมาตรการด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS) เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคและไม่ให้กระทบต่อการค้ากับประเทศคู่ค้าอื่นๆ

นอกจากนี้ ไทยยังยึดหลักการพิจารณาการเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้สหรัฐฯ ดังนี้

(1)เป็นสินค้าที่ไทยไม่ผลิต หรือผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ

(2) เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับกรอบความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ไทยเคยเจรจาไว้แล้ว

(3) เป็นสินค้าที่ผู้ประกอบการไทยเรียกร้องให้นำเข้าเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบ อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และกากถั่วเหลือง

และ (4) จะไม่เป็นการเปิดตลาดโดยทันที แต่ให้มีระยะเวลาในการทยอยเปิดตลาดสำหรับสินค้าบางรายการ

อย่างไรก็ตาม รายละเอียดสุดท้ายขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะเจรจาฯ ที่มีรองนายกรัฐมนตรีฯ (นายพิชัย ชุณหวชิร) และกระทรวงพาณิชย์เป็นแกนนำ

ไทยรับมือภาษีทรัมป์! ปกป้องเกษตรกร รักษาขีดความสามารถการค้า

นายฉันทานนท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้จะต้องเผชิญกับอัตราภาษีใหม่ แต่เมื่อวิเคราะห์ในรายละเอียด อัตราภาษี 19% ที่ไทยได้รับนั้น ส่งผลให้ภาพรวมการแข่งขันทางการค้าของไทยในตลาดสหรัฐฯ ดีขึ้นในหลายมิติ โดยเฉพาะในสินค้าที่ไทยมีศักยภาพและส่วนแบ่งการตลาดสูงอยู่แล้ว

โดยมีโอกาสแย่งส่วนแบ่งตลาด ไทยจะมีความได้เปรียบและสามารถแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากประเทศคู่แข่งที่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าเราได้ โดยเฉพาะในสินค้าสำคัญอย่าง ข้าว ปลายข้าว และมะพร้าวอ่อนสด และไทยยังรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันได้ สำหรับสินค้าที่ประเทศคู่แข่งได้รับอัตราภาษีในระดับใกล้เคียงกับไทย เช่น ยางธรรมชาติ ยางแผ่นรมควัน และเนื้อปลาทูน่า-สคิปแจ็คแช่แข็ง ไทยยังคงสามารถรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันไว้ได้เป็นอย่างดี รวมถึงการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามซึ่งมีอัตราภาษีไม่แตกต่างกันมากนัก

อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ตระหนักดีว่าการเปิดตลาดอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตรในประเทศบางรายการ อาทิ เนื้อโค และผลิตภัณฑ์นม ซึ่งอาจมีสินค้าจากสหรัฐฯ เข้ามาในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีมาตรการรองรับผลกระทบจากการเปิดตลาดอย่างรอบคอบ

“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะทำงานเชิงรุกร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมข้อมูลสำหรับประกอบการเจรจาในรายละเอียดกับฝ่ายสหรัฐฯ ต่อไป พร้อมทั้งจัดทำมาตรการช่วยเหลือ ส่งเสริม และพัฒนาศักยภาพเกษตรกรอย่างรอบด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าภาคเกษตรของไทยจะได้รับประโยชน์สูงสุดและก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปได้อย่างแข็งแกร่ง” โฆษกกระทรวงเกษตรฯ กล่าว