'สนธิรัตน์'ชี้ความสามารถแข่งขันไทยตกต่ำ จี้เร่งแก้เศรษฐกิจ

'สนธิรัตน์'ชี้ไทยต้องเร่งแก้โจทย์เศรษฐกิจ - ก่อนโจทย์การเมือง บอกความสามารถแข่งขันตกต่ำ ระบบราชการปรับตัวตามโลกไม่ทัน
สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรมว.พลังงาน และอดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ โพสเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุถึงความสามารถในการแข่งขันประเทศตกต่ำ โจทย์เศรษฐกิจที่ต้องเร่งแก้ ก่อนโจทย์ทางการเมือง วันนี้ตนไม่อาจนิ่งเฉยต่อรายงานล่าสุดจาก IMD ที่จัดอันดับความสามารถแข่งขันของประเทศไทย ซึ่งปีนี้เราร่วงลงถึง 5 อันดับ อยู่ที่ 30 จากทั้งหมด 69 เขตเศรษฐกิจ ผมคิดว่าเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับการเมืองไทยในวันนี้ที่ต้องคิดให้หนัก
โดยสิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่แค่อันดับที่ตก แต่เป็นภาพรวมที่ถดถอยเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะประสิทธิภาพภาครัฐ ที่ลดลงถึง 8 อันดับ มากที่สุดในบรรดาทุกปัจจัย สะท้อนว่าระบบราชการของเรายังไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
ทั้งนี้การบริหารแบบแยกส่วน ยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่กฎหมายล้าสมัย ระบบราชการซับซ้อน ไม่เอื้อต่อการพัฒนาภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ที่ยังอ่อนแอและขาดการสนับสนุนอย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาเชิงเทคนิค แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างประเทศไทยกำลังอ่อนแอต่อความผันผวนระดับโลก เพราะระบบที่ไม่ยืดหยุ่น และขาดหน่วยงานกลาง ที่จะบูรณาการแผนเศรษฐกิจให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน
สำหรับการขาด New S-Curve และระบบติดตามนโยบายอย่างจริงจัง ส่งผลให้ไทยไม่มีทิศทางชัดเจนในการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ เรายังไม่พร้อมกับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว เทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือ AI อย่างแท้จริง แม้เรายังมีจุดแข็งในเรื่องการค้าระหว่างประเทศและการจ้างงาน แต่หากรากฐานอ่อนแอ เราก็ไม่สามารถต่อยอดเพื่อแข่งขันในอนาคตได้ เรากำลังถอยหลัง ขณะที่โลกกำลังเร่งเดินหน้า
นายสนธิรัตน์ ระบุอีกว่า หากภาครัฐไม่เริ่มต้นปฏิรูประบบของตัวเอง เราจะไม่มีวันสร้าง “ประเทศที่แข่งขันได้” ในโลกที่กำลังเข้าสู่ยุคชาตินิยมใหม่ ที่แต่ละประเทศต่างแย่งชิงทรัพยากร เทคโนโลยี และห่วงโซ่อุปทาน
โดยปี 2025 สะท้อนภาพโลกที่เปลี่ยนผ่านไปสู่การตั้งกำแพงทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกีดกันการค้า การย้ายฐานการผลิต หรือการสร้างพันธมิตรใหม่ ไทยต้องไม่ยืนรออยู่เฉย ๆ เราต้อง เป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปปรับตัวก่อนจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
นายสนธิรัตน์ ระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องเลิกผัดวันประกันพรุ่ง ปฏิรูปการบริหารให้ทันสมัย ลดความซ้ำซ้อน กระจายอำนาจให้หน่วยงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างระบบติดตามผลนโยบายที่จริงจัง ไม่ใช่แค่บนกระดาษ
ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนต้องร่วมมือ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ถูกผลักภาระ จากระบบที่ไม่มีประสิทธิภาพ แต่ต้องเป็นพลังเสริมรัฐในการปรับตัว เพิ่มขีดความสามารถ และยกระดับมาตรฐานให้แข่งขันได้จริง
"ผมคิดว่าวันนี้รัฐบาลต้องใส่ใจเรื่องนี้ให้มาก เพราะประสิทธิภาพภาครัฐอยู่ในอำนาจการบริหารจัดการของรัฐบาล ถ้าแก้ช้าประเทศเราจะถอยหลังรุนแรง วางโจทย์การเมืองไว้สักพัก แล้วหันมาแก้โจทย์เศรษฐกิจอย่างจริงจังสักที
ประเทศไทยยังมีศักยภาพและโอกาส แต่เราต้องกล้าก้าวข้ามวิธีคิดแบบเดิม ๆ และลงมือปฏิรูป ในเวลาที่รอไม่ได้อีกต่อไป"







