สภาผู้บริโภค ถกหน่วยงาน ที่มาเงินหนุนรถไฟฟ้า 20 บาทต้องยั่งยืน

สภาผู้บริโภค จัดวงถก กรมรางฯ สนข. เพื่อไทย เจาะที่มารายได้อุดหนุนนโยบาย 20 บาทตลอดสาย ชงเก็บภาษีรถยนต์ตอบโจทย์ยั่งยืน ด้วยกองทุนตั๋วร่วม เพื่อไทยเดินหน้ากฎหมาย 3 ฉบับ เข้าสภาฯ ก.ค.
แม้ว่ารัฐบาลเตรียมเปิดลงทะเบียนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายผ่านแอปทางรัฐในเดือนสิงหาคมนี้ ขณะที่กฎหมาย 3 ฉบับ ประกอบด้วย ร่างกฎหมายตั๋วร่วม ร่างกฎหมายระบบขนส่งราง และร่างกฎหมายการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)เตรียมเสนอเข้าพิจารณาวาระ 2 ในเดือนกรกฎาคมนี้ แต่ยังมีคำถามว่า การเดินหน้านโยบาย 20 บาทตลอดสาย จะยั่งยืนหรือไม่
สภาองค์กรของผู้บริโภคจึงจัดเวที "เจาะนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท เงินอุดหนุนมาจากไหน ใครได้ ใครจ่าย?" โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และตัวแทนผู้บริโภค ร่วมระดมความคิดเห็น เพื่อหาทางออกร่วมกัน
นางสุภาพร ถิ่นวัฒนากูล รองเลขาธิการ สำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคมีเป้าหมายในการผลักดันเสริมสร้างเมืองที่เป็นธรรม ซึ่งต้องมีขนส่งสาธารณะที่ทุกคนขึ้นได้ ทั้งรถไฟฟ้า รถเมล์ เรือ ราง ในราคาเป็นธรรม ไม่เป็นมลพิษ ไม่ต้องรอนาน มีความปลอดภัย
สภาผู้บริโภคจึงสนับสนุนกฎหมายตั๋วร่วม ซึ่งรวมไปถึงค่าโดยสารร่วมที่เชื่อมโยง รถ ราง เรือ โดยหวังว่ากฎหมายจะผ่านสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ทุกคนจะมีสิทธิใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในเดือนกันยายน 2568 และหวังว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทจะมีความยั่งยืนในทุกรัฐบาล
โดยสภาผู้บริโภค เสนอ 5 เรื่องสำคัญ ของ พ.ร.บ.ระบบตั๋วร่วม ประกอบด้วย
1. มีประธานสภาผู้บริโภคตัวแทนผู้บริโภคในคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม
2. ครอบคลุมทุกการเดินทางใช้ได้ทั้งทางถนน ทางราง และทางน้ำ ในฐานะขนส่งสาธารณะ
3. ต้องมีระบบรับเรื่องร้องเรียนที่ผู้ให้บริการต้องรับฟัง และดำเนินการแก้ไขปัญหาจากผู้ใช้บริการ
4. ใช้ตั๋วร่วมได้ทั่วประเทศไม่ว่าจะเดินทางในกรุงเทพฯ ปริมณฑล หรือต่างจังหวัด ก็ใช้ระบบเดียวกันได้
5. มีกองทุนช่วยเหลือโดยสารสนับสนุนทั้งประชาชนและผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะให้เดินหน้าร่วมกันได้
ด้านนายอดิศักดิ์ สายประเสริฐ อนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า นโยบายอุดหนุนค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท หัวใจคือ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม และค่าโดยสารร่วม ซึ่งต้องมีกองทุนตั๋วร่วม แต่คำถามคือจะหาเงินจากที่ไหนบ้าง
โดยปัจจุบันรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังอยู่ในช่วงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม.ซึ่งจะนำเงินรายได้จาก รฟม. มาใช้ในการอุดหนุน และมีจัดสรรงบประมาณโดยตรงจากรัฐบาล แต่มีข้อเสียคือ อาจจะไม่เกิดความยั่งยืน ขณะที่มีตัวอย่างเมืองใหญ่ในต่างประเทศหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น ลอนดอน อัมสเตอร์ดัม หรือควิเบก ที่มีมาตรการของรัฐในการอุดหนุนระบบขนส่งสาธารณะ
ดังนั้น เห็นว่าหากต้องการสร้างความยั่งยืน จะต้องการผลักดันค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge ) และสามารถเสนอแก้ไขกฎหมายดังต่อไปนี้เพื่อนำเงินมาสร้างความยั่งยืนของ ระบบตั๋วร่วม ประกอบด้วย แก้ไข พ.ร.บ.การขนส่งทางบก 2522 ให้แบ่งเงินภาษีรถยนต์เข้ากองทุนตั๋วร่วม รวมถึงแก้ไข พ.ร.บ.รถยนต์ แก้ไขค่าภาษีรถยนต์ประจำปีให้อยู่ในระดับกฎกระทรวง เพื่อนำเงินมาใช้ และแก้ไข พ.ร.บ.กำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์ฯ มาตรา 6 เพื่อ Earmark เข้ากองทุน
“แหล่งรายได้ที่จะมาช่วยสนับสนุนกองทุนตั๋วร่วม อาจจะมาจาก ค่าธรรมเนียมรถติด ภาษีน้ำมันรวมต้นทุนค่าอากาศสะอาด ภาษีรถยนต์รวมต้นทุนราคาคาร์บอน รายได้เหล่านี้ เพื่อให้กองทุนตั๋วร่วมไม่ต้องพึ่งพิงรายได้จากงบประมาณรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ทำให้มีเงินเข้ากองทุนในระยะยาวยั่งยืนได้ และจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภค และการพัฒนาเมืองในระยะยาว” นายอดิศักดิ์ กล่าว
นายอธิภู จิตรานุเคราะห์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง กล่าวว่า นโยบาย 20 บาทเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล มีเรื่องท้าทายคือการเงิน เทคโนโลยี และกฎหมาย การใช้จ่ายเงินต้องรัดกุม ตรวจสอบได้ จึงไม่สามารถเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่จะดำเนินการอย่างรัดกุมเพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้บริโภคมากที่สุด แม้มีความท้าทายทั้งการเงิน เทคโนโลยี และกฎหมายโดยขณะนี้กำลังศึกษาเพื่อให้นโยบายนี้ดำเนินการอย่างยั่งยืนได้
นายจิรโรจน์ ศุกลรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กล่าวว่า รถไฟฟ้าประเทศไทยมี 2 รูปแบบ
1. รัฐจ้างวิ่งแล้วรัฐเป็นผู้รับรายได้ เมื่อจะปรับลดค่าบริการ รัฐจะรู้รายได้ที่ลดลง
2. มีหลายสายที่ยังมีสัญญาสัมปทานกันอยู่ โดยเอกชนเป็นผู้เดินรถ และรับรายได้ ซึ่งในส่วนที่รัฐจ้างเดินรถ เช่นสายสีแดง และสายสีม่วง สามารถดำเนินการนโยบาย 20 บาทได้ก่อน ส่วนที่มีสัญญาสัมปทานอาจจะต้องมีการเจรจา
อย่างไรก็ตาม ในการสร้างความยั่งยืน และแหล่งที่มาของรายได้ในการสนับสนุนนโยบาย ในช่วงแรกจะใช้เงินรายได้ของ รฟม.มาดำเนินการ แต่ในระยะยาวกำลังมีการศึกษาแหล่งที่มาของรายได้ เพื่อสร้างความยั่งยืนของนโยบายนี้ เช่น ค่าภาษีรถติด เพื่อสนับสนุนนโยบายนี้
ขณะที่นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กระบวนการทำงานในฝั่งสภาผู้แทนราษฎร ได้ขับเคลื่อนการแก้กฎหมาย โดยยื่นแก้ไขกฎหมาย และสภาฯ ได้เห็นชอบในวาระแรกของการแก้ไขกฎหมาย 3 ฉบับ
ได้แก่ พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ร.บ.การจัดการระบบตั๋วร่วม และ พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนฯ ซึ่งทั้ง 3 ฉบับจะกลับสู่การพิจารณาสภาฯ ในวาระ 2-3 ในเดือน ก.ค.นี้ เพื่อให้สามารถดำเนินการต่อตามเป้าหมายของฝั่งบริหาร หรือคือให้ประชาชนได้เดินทางในค่าใช้จ่ายที่ถูก เพื่อเป็นการลดค่าครองชีพได้ในวันที่ 30 ก.ย.นี้เป็นต้นไป
นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า สุดท้าย ขอให้คำมั่นว่า รัฐบาลนี้จริงจัง และนโยบายเกิดขึ้นแน่นอน จึงมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้มีความยั่งยืน และมองว่า รถไฟฟ้าไม่ควรเป็นธุรกิจค้ากำไร ดังนั้น เพื่อสร้างความยั่งยืนของการแก้ปัญหาเรื่องตั๋วโดยสารนี้ พรรคเพื่อไทยจึงมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการผ่านการแก้กฎหมายให้มีความถาวร ตั้งกองทุน และคณะกรรมการเข้ามากำกับดูแลนโยบายอย่างเหมาะสม
ส่วนเรื่องแหล่งที่มาของงบประมาณที่จะเข้ามาในกองทุนนั้น ต้องเปิดกว้างให้มีแหล่งที่มาที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหาร และลดการพึ่งพางบประมาณจัดสรรจากรัฐบาลแบบปีต่อปี
เปิดให้ รฟม. สามารถหารายได้อื่นเพิ่มเติมแล้วนำรายได้นั้นมาช่วยเหลือค่ารถไฟฟ้า เช่น รายได้ค่าโฆษณา ค่าเช่าพื้นที่ส่วนควบ หรือลงทุนธุรกิจอื่นๆ รอบสถานี หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะลดค่าใช้จ่ายประชาชนที่เดินทางโดยขนส่งสาธารณะได้







