รองโฆษก สธ. เผย ‘แพทยสภา’ ฟัน3หมอ กระทบการรักษา ชี้ นักโทษเป็นหมื่น อยู่รพ.นาน

รองโฆษก สธ. เผย ‘แพทยสภา’ ฟัน3หมอ กระทบการรักษา ชี้ นักโทษเป็นหมื่น อยู่รพ.นาน

“จิรพงษ์” เปิดสาเหตุ “สมศักดิ์”กังวลลูกหลานคนไทยที่จะเป็นหมอ หลังแพทยสภา ลงโทษ 3 ราย หวั่น ถูกร้อง กระทบสิทธิผู้ต้องขังรักษารพ.รัฐ สวนทาง สธ.ยกระดับบริการสาธารณสุข เผย ที่ผ่านมา นักโทษเด็ดขาด นับหมื่นเคส ที่แพทย์อนุญาตให้พักฟื้นเป็นเวลานาน ยัน เอกสารแพทยสภาส่งมา “ทักษิณ”ป่วยจริง

นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ รองโฆษก สธ.  เปิดเผยว่า ในเวลา 18.30 น. ของวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ทีมงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กำลังบรีฟงานภารกิจของวันรุ่งขึ้น ตนได้มีโอกาสสอบถาม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับเรื่องการวีโต้คัดค้านมติของแพทยสภาในกรณีลงโทษแพทย์ 3 ราย ซึ่งนายสมศักดิ์ มิได้วิตกกังวลเลยที่ถูกโยงกับประเด็นทางการเมืองเรื่องการรักษาตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะจากเอกสารที่แพทยสภาส่งมาต้องยอมรับว่า นายทักษิณ ป่วยจริง เข้ารับการผ่าตัดจริง และแพทย์ให้ความเห็นสมควรให้รักษาอาการที่โรงพยาบาล ซึ่งเป็นการลบล้างคำกล่าวหาว่า ป่วยทิพย์

แต่สิ่งที่ยังกังวลอยู่นั้นก็คือการตัดสินลงโทษมาตรฐานทางจริยธรรมที่มองว่ารุนแรงเกินไปกับแพทย์รัฐทั้ง 3 ราย ตามความเห็นคัดค้านที่ส่งให้แพทยสภาไปแล้วนั้น จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อแพทย์ของรัฐในการใช้ดุลพินิจการรักษา การปฏิบัติราชการ ไม่เกิดผลดีต่อประชาชนจากการรับบริการทางการแพทย์ด้วยสิทธิต่างๆ ของรัฐ โดยเฉพาะผลกระทบกับนักโทษเด็ดขาดที่ป่วย มีโรคประจำตัว และอายุมาก ที่จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลรัฐอย่างต่อเนื่องด้วยขีดจำกัดในการรักษาของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ 

นายจิรพงษ์ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินงานและบริหารการจัดการกองทุน ปฏิบัติหน้าที่โดยยึดถือนโยบายของ นายสมศักดิ์ ที่ตั้งใจพัฒนาการขยายสิทธิ ขยายโอกาส เพิ่มยานวัตกรรมใหม่จากต่างประเทศในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนที่ถือบัตรทอง 47 ล้านคนได้รับการรักษาการให้บริการของหน่วยบริการสาธารณสุขที่ทัดเทียม โดยพยายามเทียบเคียงการให้บริการของโรงพยาบาลชั้นนำของประเทศ ซึ่งล้วนแล้วแต่มาจากภาคเอกชน แต่ในความเป็นจริงแล้วในหลักปฏิบัติการรักษาของแพทย์รัฐ ยังถูกควบคุมโดยมาตรฐานการรักษาต่างๆที่ถูกกำหนดไว้เพื่อป้องกันการใช้จ่ายงบประมาณที่เกินความจำเป็น

ซึ่งมีหลายเรื่องที่ถูกมองว่าเป็น Over Investigation การรักษาเกินความจำเป็น เช่น ผลการตรวจสอบก่อนจ่ายชดเชยกรณีทำหัตถาส่วนหัวใจ Coronary Artery Angiography CAG โดยเฉพาะการฉีดสีในการตรวจสภาวะกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ รวมถึงการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและการใส่ขดลวด Percutaneous Coronary Intervention PCI ที่ไม่ผ่านเงื่อนไข 

“ที่ผ่านมาเมื่อแพทย์ผู้รักษาอุทธรณ์ถึงความจำเป็นในการรักษาผู้ป่วย ซึ่งมีเงื่อนไขสภาวะอาการที่แตกต่างกันไป ป้องกันการนำไปสู่สภาวะวิกฤติถึงขั้นเสียชีวิตได้ แพทย์ก็จำเป็นที่ต้องรักษาต่างจากมาตราฐานการรักษาที่กำหนด ด้วยเหตุดังกล่าวทาง สปสช. มักจะเคารพการตัดสินใจในการรักษาของแพทย์ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยรักษาชีวิตของผู้ป่วยเป็นหลัก และไม่เคยจะกล่าวโทษแพทย์รัฐผู้รักษาโดยใช้มาตรฐานการรักษาเกินความจำเป็นเลย“ รองโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าว 

นายจิรพงษ์ เปิดเผยอีกว่า ในกรณีการรักษาของแพทย์ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงสาธารณสุขต่อนักโทษเด็ดขาด มีนับหลายหมื่นเคสที่แพทย์รัฐอนุญาตให้นักโทษพักฟื้นในโรงพยาบาลเป็นระยะเวลายาวนาน ยกตัวอย่างเช่นโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี ได้รับตัวผู้ป่วยเป็นนักโทษเด็ดขาดที่ถูกส่งตัวมาจากเรือนจำกลางบางขวาง เข้ารับการรักษา การผ่าตัด เช่น โรคไส้เลื่อน โรคไส้ติ่งอักเสบ โรคทางตา โดยการรับส่งตัวก็เป็นการปฏิบัติราชการปกติระหว่างกระทรวงฯกับของทางเรือนจำกลางบางขวาง ซึ่งเหมือนและไม่แตกต่างกับกรณีของนายทักษิณ หลังการผ่าตัดแพทย์ผู้รักษาก็จะอนุญาตให้นักโทษป่วยเหล่านั้นได้ทำการพักฟื้นในโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง มิได้ส่งต่อไปพักฟื้นที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ หรือส่งกลับเรือนจำในทันที เพราะอาจสุ่มเสี่ยงในการที่จะติดเชื้อจากสถานที่กักขังจนเมื่อนักโทษมีอาการที่แข็งแรงดีแล้วถึงส่งตัวกลับเรือนจำ มากกว่านั้นยังมีอีกหลายกรณีที่แพทย์รัฐรักษานักโทษเด็ดขาดนับปีไม่ต้องเข้าขั้นถึงขั้นวิกฤติ โดยเฉพาะนักโทษที่มีอาการทางจิต สาเหตุอาจมาจากผลของการติดยาเสพติด หรือความเครียดขณะถูกจองจำ ซึ่งเกิดเหตุนักโทษเด็ดขาดฆ่าตัวตาย รวมถึงคุ้มคลั่งทำร้ายผู้อื่นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน การส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลในสังกัดกรมสุขภาพจิตเช่น โรงพยาบาลศรีธัญญา สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ แพทย์ผู้รักษาไม่สามารถบ่งบอกได้อย่างแน่ชัดว่าหายจากอาการทางจิตเมื่อไร บางเคสต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลรับประทานยาอย่างต่อเนื่องมิให้เกิดอาการขาดยา ซึ่งต้องเคารพการตัดสินใจของแพทย์ผู้รักษาว่าจะใช้ระยะเวลารักษาเท่าไหร่ มิอาจมีมาตรฐานใดมากำหนดได้ ซึ่งเป็นที่มาของโครงการราชทัณฑ์ปันสุขที่ นายสมศักดิ์ เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมาก่อน

“ดังนั้นกรณีแพทยสภามีมติลงโทษแพทย์ทั้ง 3 ราย โดยถูกสั่งลงโทษว่ากล่าวตักเตือน รวมถึงการสั่งลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ โดยแพทย์ทั้ง 3 รายเป็นบุคลากรหรือข้าราชการของรัฐ ซึ่งเป็นการลงโทษที่รุนแรง หากการลงโทษในครั้งนี้เกิดเป็นบรรทัดฐานใหม่ ก็จะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติราชการในการวินิจฉัยการรักษาของแพทย์รัฐคนอื่นๆ เปิดช่องให้มีผู้ร้องเรียนได้ง่าย โดยเฉพาะแพทย์จบใหม่ที่จะต้องมาใช้ทุนโดยการปฏิบัติงานในภาครัฐ จะถูกจำกัดการรักษาโดยมาตรฐานจริยธรรมเพิ่มเติมกับที่มีการกำหนดมาตรฐานต่างๆไว้แล้ว ก็จะทำให้การยกระดับสาธารณสุขประเทศไทยทำได้ยากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประชาชนและนักโทษในภาพรวม จึงเป็นสาเหตุที่นายสมศักดิ์ เป็นห่วงเรื่อง ลูกหลานของคนไทยที่จะเป็นแพทย์“ นายจิรพงษ์ กล่าว