กปร.สานต่อองค์ความรู้ตามแนวพระราชดำริ สู่เยาวชน ผ่านระบบโรงเรียน

กปร.สานต่อองค์ความรู้ตามแนวพระราชดำริ สู่เยาวชน ผ่านระบบโรงเรียน

กปร.ขยายผลองค์ความรู้ ตามแนวพระราชดำริสู่การพัฒนาสู่เยาวชน ปี 2568 ผ่านการเรียนการสอน กิจกรรมต่างๆ ในระบบโรงเรียน จ.จันทบุรี จ.ตราด

นางศศิพร ปาณิกบุตร รองเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เปิดเผยภายหลังพิธีเปิดโครงการสานต่อองค์ความรู้ตามแนวพระราชดำริ ภายใต้โครงการความร่วมมือเพื่อขยายผลองค์ความรู้ตามแนวพระราชดำริสู่เยาวชน ประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 23-24 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี และโรงแรมแซนด์ดูนส์ เจ้าหลาว บีช รีสอร์ท ว่า 

โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้คณะครูในเขตพื้นที่จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด ได้เรียนรู้การดำเนินงานของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ ในพื้นที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดจันทบุรี พร้อมเรียนรู้การใช้สื่อการเรียนการสอนสำหรับเด็กและเยาวชน เกี่ยวกับแนวพระราชดำริ องค์ความรู้การพัฒนา ดิน น้ำ ป่า พลังงานทดแทน และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงผ่านรถโมบาย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทไทยเบฟ จํากัด มหาชน  

“เพื่อสานต่อโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริสู่การรับรู้ของเยาวชน และนําไปปรับใช้ในชีวิตประจําวัน ผ่านรูปแบบการเรียนการสอน มีตัวชี้วัดด้านการรับรู้ของนักเรียน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาเยาวชนให้มีความรู้เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์ความรู้ตามแนวพระราชดําริ ความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การทําเกษตรทฤษฎีใหม่ การน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติใช้ รวมถึงหลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เยาวชนจะนําไปต่อยอดได้ง่ายยิ่งขึ้น” นางศศิพร กล่าว 

กปร.สานต่อองค์ความรู้ตามแนวพระราชดำริ สู่เยาวชน ผ่านระบบโรงเรียน

รองเลขาธิการ กปร.อธิบายเพิ่มเติม ถึงรถโมบายว่า สื่อการเรียนรู้ในรถโมบาย จะเน้นเนื้อหาในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ ประวัติความเป็นมา และการดำเนินงานของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย อาทิ เรื่อง แก้มลิง ดิน ประเภท ต่างๆ 8 - 9 ชนิด ที่มีอยู่ในประเทศไทยมีคุณสมบัติอย่างไร การทําเกษตรทฤษฎีใหม่ 30 30 30 10 เป็นอย่างไร  

นอกจากการเรียนรู้ในรูปแบบบอร์ดนิทรรศการแล้ว ยังมีสื่อภาพยนต์เป็นคลิปวิดีโอการ์ตูน รวมถึงกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ เช่น บันไดงู ทอยลูกเต๋า เมื่อชนะก็จะเจอกับคำตอบว่าป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง มีประโยชน์อย่างไร หรือแก้มลิงช่วยแก้ไขน้ำท่วมน้ำแล้งได้อย่างไร ซึ่งเป็นขบวนการเรียนรู้ที่สนุกสนาน สอดคล้องกับช่วงวัยของเยาวชนในโรงเรียน  

โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงาน กปร. สำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขึ้นพื้นฐาน(สพฐ.) และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) มีคณะครูจากโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนในเครือข่ายสำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนา และในเครือข่ายบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จำนวน 118 ท่าน เข้าร่วมโครงการ 

รูปแบบการอบรมประกอบด้วย การเรียนรู้กิจกรรมภายในศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี การใช้สื่อจากรถโมบายในการขยายผลองค์ความรู้ตามแนวพระราชดำริ การเรียนรู้กิจกรรมในศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน การเรียนรู้งานประมง การเพาะและอนุบาลสัตว์น้ำชายฝั่ง

การเรียนรู้งานพัฒนาที่ดิน แปลงรวบรวมสายพันธุ์หญ้าแฝก การเรียนรู้งานวิชาการเกษตร การปลูกพืชในที่ดินใกล้ชายฝั่งทะเล และศึกษาดูงาน ณ ศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริด้านการเลี้ยงชันโรง และไร่นาสวนผสมของนายจักรชัย เสมสฤษดิ์ ซึ่งเป็นศูนย์เรียนรู้ของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 

ด้านนายจักรชัย เสมสฤษดิ์ เกษตรกรศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริด้านการเลี้ยงชันโรง และไร่นาสวนผสม เปิดเผยระหว่างนำคณะครูเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้ว่า ในพื้นที่ 8 ไร่ปลูกพืชแบบผสมผสาน อาทิ ทุเรียน มังคุด เงาะ สละ และเลี้ยงชันโรงช่วยผสมเกสร ทำลายเพลี้ยแป้ง เชื้อรา มีรายได้จากการขายและการแปรรูปผลผลิต เช่น สละลอยแก้ว ซึ่งผลิตและขายทางออนไลน์ และมีพ่อค้ามาซื้อที่สวน

“ได้รับความรู้ในการเพาะปลูกและดูแลสวนจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และได้น้อมนำแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติใช้ จนประสบความสำเร็จในปัจจุบัน คณะครูมาเยี่ยมชมศูนย์ฯ รู้สึกดีใจ เพราะจะได้นำเรื่องราวเหล่านี้ไปถ่ายทอดสู่เยาวชนในโรงเรียนต่อไป ซึ่งเป็นนักเรียนที่พ่อแม่ทำการเกษตรโดยส่วนใหญ่ ดีใจที่มีการสอนเรื่องการทำเกษตรตามแนวพระราชดำริในโรงเรียน” นายจักรชัยกล่าว

กปร.สานต่อองค์ความรู้ตามแนวพระราชดำริ สู่เยาวชน ผ่านระบบโรงเรียน

ทางด้านนายธนชัย เลขวัฒนะ ครูโรงเรียนมัธยมวัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี หนึ่งในคณะครูที่เข้าร่วมโครงการ เผยว่า โรงเรียนมัธยมวัดเขาสุกิมเป็นโรงเรียนประจําตําบล มีนักเรียน 190 คน สมัครเข้าร่วมโครงการนี้ตามคำเชิญของสำนักงาน กปร.เนื่องจากผู้ปกครองของนักเรียนส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม ทำสวนทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง รวมถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ต่างๆ เช่น ทุเรียนทอด เงาะกระป๋อง เป็นต้น

นักเรียนบางส่วนใช้เวลาหลังเลิกเรียน และวันหยุดหารายได้ช่วยครอบครัวด้วยการเป็นลูกจ้างภายในสวน การได้เรียนรู้จากโครงการนี้จะเป็นประเด็นสําคัญต่อการนำกลับไปปรับใช้ในการสอนให้แก่นักเรียน โดยเฉพาะในรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง

“การที่คุณครูได้มารับองค์ความรู้ใหม่ๆ เทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถโมบาย หรือสื่อการเรียนการสอน จะเป็นประโยชน์ของครูผู้สอนเป็นอย่างมาก ทำให้นักเรียนได้ศึกษา และเรียนรู้แนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่สามารถเชื่อมโยงกับชีวิตจริงของแต่ละคนได้ เป็นการขยายผลความรู้จากโครงการฯสู่ครู จากครูสู่นักเรียน และท้ายที่สุดก็ไปสู่ผู้ปกครองของนักเรียน ก็จะเกิดความยั่งยืน ในการมีชีวิตที่มั่นคง” นายธนชัย กล่าว