เจาะโครงสร้างศูนย์ปฏิบัติการ 'AOC 1441' เปิดศึกมิจฉาชีพ-เชือดบัญชีม้า

เจาะโครงสร้างศูนย์ปฏิบัติการ 'AOC 1441' เปิดศึกมิจฉาชีพ-เชือดบัญชีม้า

เจาะโครงสร้างศูนย์ปฏิบัติการ "AOC 1441" ที่ไม่ใช่เป็นเพียงพื้นที่รับเรื่องเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การบูรณาการข้อมูลข้ามหน่วยงาน การสื่อสารสาธารณะเพื่อเตือนภัยล่วงหน้า พร้อมทั้งเร่งพัฒนาเครื่องมือเปิดศึกมิจฉาชีพ-เชือดบัญชีม้า ในรูปแบบ วัน สต๊อป เซอร์วิส เพื่อยกระดับความรู้ดิจิทัลให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์

ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ Anti Online Scam Operation Center (AOC) หรือถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการโดยใช้หมายเลข 1441 เป็นเบอร์หลักให้ประชาชนแจ้งเบาะแส อาชญากรรมไซเบอร์ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ภายใต้การดูแลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) อีกทั้งยังพร้อมการประสานงานจากหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอี และในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ AOC กล่าวว่า บทบาทของ AOC ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การรับเรื่องเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การบูรณาการข้อมูลข้ามหน่วยงาน การสื่อสารสาธารณะเพื่อเตือนภัยล่วงหน้า และการเป็นศูนย์กลางในการจัดการวิกฤติแบบเรียลไทม์ เป็นการตั้งรับที่เปลี่ยนเป็นการรุกอย่างมียุทธศาสตร์

เจาะโครงสร้างศูนย์ปฏิบัติการ 'AOC 1441' เปิดศึกมิจฉาชีพ-เชือดบัญชีม้า

จาก พ.ร.บ.คอม ถึง พ.ร.ก.ไซเบอร์ : เปลี่ยนเกมปราบภัยออนไลน์

ในอดีตการจัดการกับอาชญากรรมออนไลน์ยังคงอยู่ในกรอบของพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเพียงเครื่องมือพื้นฐานในการจัดการกับอาชญากรรมดิจิทัล แต่ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยี เช่น โซเชียลมีเดีย โมบายแบงก์กิ้ง และแอปพลิเคชันทางการเงินต่างๆ ส่งผลให้รูปแบบการหลอกลวงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจึงจำเป็นต้องออกกฎหมายใหม่ที่สามารถรับมือกับภัยเหล่านี้ได้โดยตรง

พ.ร.ก. ว่าด้วยมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ปี 2566 ได้ให้อำนาจแก่หน่วยงานต่างๆ อย่างชัดเจนมากขึ้น ทั้งในการอายัดบัญชี ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และการประสานงานแบบเร่งด่วนระหว่างภาครัฐและเอกชน ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนเกมการปราบปรามภัยไซเบอร์ในประเทศไทย

เพื่อให้ทำงานได้เต็มที่ พ.ร.ก. ฉบับที่สองจึงถูกผลักดันให้ศูนย์มีอำนาจในการอายัดบัญชีและทรัพย์สินดิจิทัลโดยไม่ต้องผ่านศาล เพิ่มโทษการรั่วไหลของข้อมูล และกำหนดให้หน่วยงานต่างๆ ต้องร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะระบบ CFR (Central Fraud Registry) ที่จะใช้ในการบล็อกบัญชีที่น่าสงสัยทันทีแบบเรียลไทม์ พร้อมวางแผนดึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียข้ามชาติให้มีความรับผิดชอบร่วม หากละเลยไม่ดำเนินการหลังได้รับคำร้องขอจากภาครัฐ

ความท้าทายจากข้อมูล : เมื่อบิ๊กดาต้ากถูกใช้เป็นเครื่องมือ

นับตั้งแต่เปิดศูนย์ AOC มีประชาชนโทรเข้ามามากถึง 1.6 ล้านสาย ซึ่งสามารถอายัดบัญชีต้องสงสัยได้ถึง 600,000 บัญชี โดยทีมงานกว่า 140 คน คอยรับเรื่องและดำเนินการอย่างรวดเร็วภายใน 7 นาทีต่อสาย เพื่อสกัดกั้นเส้นทางการเงินของมิจฉาชีพ ซึ่งในหลายกรณีการอายัดบัญชีทันท่วงทีช่วยหยุดยั้งการแพร่ขยายของเงินที่ถูกหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เจาะโครงสร้างศูนย์ปฏิบัติการ 'AOC 1441' เปิดศึกมิจฉาชีพ-เชือดบัญชีม้า

ข้อมูลที่ได้รับจากประชาชน และการวิเคราะห์ของศูนย์ พบพฤติกรรมการใช้ชื่อ-นามสกุลเดียวกันเปิดบัญชีในหลายธนาคาร บางคนมีบัญชีมากกว่าร้อยบัญชีโดยไม่มีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างธนาคารเลย นอกจากนี้ยังพบว่าบัญชีนิติบุคคลถูกนำมาใช้เพื่อปกปิดการเคลื่อนย้ายเงินผิดกฎหมายเป็นจำนวนมาก

ศูนย์ยังตรวจพบว่าผู้กระทำผิดหลายรายใช้ซิมโทรศัพท์มือถือจากตู้ขายอัตโนมัติ หรือจุดจำหน่ายที่ไม่มีระบบยืนยันตัวตนที่เข้มงวด ทำให้ยากต่อการติดตามตัวผู้ใช้จริง การเปิดซิมใหม่เพื่อใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมายจึงยังคงเกิดขึ้นได้ง่ายดาย

คืนเงิน-คัดกรอง-เปลี่ยนเกมสู่ยุทธศาสตร์แห่งอนาคต

เอกพงษ์ เล่าว่า เป้าหมายระยะยาวของศูนย์ AOC คือ การคืนเงินให้กับประชาชนโดยไม่ต้องผ่านศาล ด้วยอำนาจของคณะกรรมการธุรกรรมปปง. และการสร้างระบบติดตามเส้นทางการเงินแบบเรียลไทม์ อีกทั้งยังมีแผนเผยแพร่รายงานอาชญากรรมออนไลน์แบบรายวัน เพื่อเตือนภัยและปรับมาตรการได้อย่างทันท่วงที และจะเป็นข้อมูลสำคัญให้หน่วยงานทั้งในและต่างประเทศรับมือกับเทรนด์อาชญากรรมใหม่ๆ ได้อย่างทันท่วงที

นอกจากนี้ ศูนย์ยังมีแนวคิดในการผลักดันมาตรการ "ตัดม้า ตัดซิม ตัดบัญชี" ให้ครอบคลุมทุกช่องทาง โดยหากผู้ใดถูกระบุว่าเกี่ยวข้องกับกระบวนการหลอกลวงออนไลน์ ระบบจะทำการระงับสิทธิ์ทางการเงิน การสื่อสาร และสวัสดิการพื้นฐาน เพื่อไม่ให้มีช่องว่างกลับเข้าระบบอีก เช่น หากเคยเปิด บัญชีม้า อาจถูกขึ้นบัญชีดำไม่สามารถเปิดบัญชีธนาคารใหม่ หรือหากเปิดซิมโทรศัพท์ไปหลอกคนอื่นได้ อาจถูกตัดสิทธิ์ใช้บริการในระบบโทรคมนาคมทั้งหมด

ในระยะยาวศูนย์ AOC มีแนวโน้มจะพัฒนาเป็นโครงสร้างถาวร เช่น ยกระดับเป็นกรม หรือหน่วยงานกึ่งอิสระที่สามารถทำงานได้คล่องตัวมากขึ้น โดยเฉพาะการดึงเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบจัดการข้อมูลความเสี่ยง มาใช้ในการคัดกรองและจำแนกธุรกรรมที่อาจเกี่ยวข้องกับมิจฉาชีพตั้งแต่ต้นทาง

เจาะโครงสร้างศูนย์ปฏิบัติการ 'AOC 1441' เปิดศึกมิจฉาชีพ-เชือดบัญชีม้า

การมีส่วนร่วมของประชาชนด่านแรกป้องกันภัยไซเบอร์

แม้ภาครัฐจะยกระดับศูนย์ AOC ให้ทันสมัยและแข็งแกร่งแค่ไหน แต่หากประชาชนยังหลงเชื่อโฆษณาลงทุนที่ผลตอบแทนสูง หรือซื้อสินค้าจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น โซเชียลมีเดีย การป้องกันก็ยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้น ประชาชนจำเป็นต้องเรียนรู้และตรวจสอบก่อนทำธุรกรรมออนไลน์เสมอ เพราะถึงที่สุดแล้ว "ความระมัดระวัง" คือด่านแรกของการป้องกันภัย

ศูนย์ AOC กำลังเร่งพัฒนาเครื่องมือและระบบให้ประชาชนสามารถตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ บัญชีธนาคาร และลิงก์ที่อาจเป็นอันตรายได้ด้วยตนเอง พร้อมจัดทำแคมเปญสื่อสารสาธารณะเพื่อยกระดับความรู้ดิจิทัลให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันไซเบอร์อย่างแท้จริง ซึ่งหากสำเร็จก็จะทำให้ประชาชนไม่เพียงแต่รอดพ้นจากการหลอกลวง แต่ยังเป็นแนวร่วมสำคัญของรัฐในการสร้างระบบออนไลน์ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

เจาะโครงสร้างศูนย์ปฏิบัติการ 'AOC 1441' เปิดศึกมิจฉาชีพ-เชือดบัญชีม้า